คุณพบ “เนื้อคู่ (งาน)” ของคุณแล้วหรือยัง?

  • 30
  •  
  •  
  •  
  •  

เคยได้ยินมั้ยครับ ใครสักคนบอกว่า เราทุกคนเกิดมาจะมีเนื้อคู่อยู่ หรือก็คือคู่แท้ หรือ ‘คนที่ใช่’ ของเรา อยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ จะหาเจอหรือเปล่าอันนี้คงตอบยาก ในเรื่องของงานเองก็เช่นกัน คุณจะหาเจอหรือเปล่าว่า ‘งานที่ใช่’ หรือ ‘งานในฝัน’ ของคุณคืองานใด

ถ้าเป็นเรื่องของการตามหารักแท้ ผมคงจะไม่ใช่ Expert ที่มีสูตรลับที่ทำให้พวกเราหากันจนเจอ และมีแฟนแต่งงานกันแบบ Happily Ever After แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชีพหรืองานละก็ ผมสามารถช่วยได้ครับ และวันนี้ผมอยากจะมาแนะนำสูตรการหา ‘คู่งานแท้’ หรือ ‘เนื้อคู่งาน’ ชื่ออาจจะฟังดูประหลาดแปลกๆในตอนแรก แต่มันคือสิ่งเดียวกันกับ ‘งานที่ใช่’ หรือ ‘งานในฝัน’ ที่ผมเกริ่นไว้ เอาเป็นว่าทุกคนเข้าใจนะครับ ว่ามันคือ งานที่คุณใฝ่ฝันอยากจะทำและได้มันมา และถ้างานนั้นเป็นงานที่ใช่จริงๆแล้วละก็ คุณจะทำมันอย่างสนุกแฮปปี้ฝุดๆกับการทำงานในทุกๆวัน แน่นอนละมันก็อาจจะมีขึ้นๆลงๆ  บางวันไม่ดีบ้างตามภาษา แต่โดยรวมแล้วคุณพอใจกับงานนั้นเสมือนงานนั้นเติมเต็มให้ชีวิตคุณ นอกจากนั้นแล้วคุณยังมีแนวโน้มในการทำงานนั้นได้ค่อนข้างดีไปจนถึงดีมาก หรืออาจจะดีแบบขั้นเทพไปเลยก็ได้ เพราะคุณทำในสิ่งที่คุณรัก และคุณมีความสุขในการทำมันครับ สรุปสั้นๆคือ งานนี้ทำแล้วฟิน และคุณมั่นใจว่านี่แหละคือสิ่งที่คุณตามหามาตลอด

How-to-find-your-soul-job-infographic

ที่มา amMarkable

ตามสูตรข้างบน

Career Planning (Learning about yourself + Learning about jobs + Timing / Opportunities) = Soul Job

หรือ

การวางแผนอาชีพ x (การเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง + การเรียนรู้เกี่ยวกับงาน + เวลา และ โอกาส) = เนื้อคู่งาน

มีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 4 อย่างหลักๆซึ่งผมจะอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยให้ฟังดังนี้ครับ

1. Career Planning การวางแผนเส้นทางอาชีพ

ก่อนอื่นเลยผมอยากจะอธิบายความแตกต่างของคำว่า Career และ Job เพราะความหมายของสองคำนี้ในภาษาไทยจะมีหลายๆคนที่สับสนและนึกว่าคือสิ่งเดียวกันนะครับแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย นอกจากสองคำนี้ ยังมีอีกคำหนึ่งที่หลายๆคนยังสับสนกับคำว่า Job คือคำว่า Occupation เพราะฉะนั้นผมขอยกตัวอย่างง่ายๆให้ผู้อ่านทุกท่านเห็นภาพดังตัวอย่าง Infographic ข้างล่างครับ

Chompoo-career-journey

ที่มา amMarkable

  • ในที่นี้ Career ของคุณชมพู่คือ เส้นทางการทำงานตั้งแต่ตอนเริ่มงานใหม่ๆเป็นเลขา และได้ผันตัวเองมาทำงานด้าน HR Recruitment และก็ผันตัวเองมาเรื่อยๆในสาย HR จนมาทำธุรกิจส่วนตัวด้าน Training
  • ความหมายของคำว่า Career คือเส้นทางการเดินทางเพื่อไปถึงสิ่งที่คุณชมพู่อยากทำในชีวิตโดยเฉพาะเรื่องอาชีพการงานทั้งที่ได้เงินและไม่ได้เงิน ซึ่งก็สามารถแปลเป็น Passion ผสมเป้าหมาย ผสมเวลา ผสมความสนใจ ผสมความชอบ และผสมการเลือกและลงมือทำจนไปได้ทำงานที่ตัวเองต้องการก็ได้ครับ อย่างคุณชมพู่ช่วงแรกๆยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรแน่ก็สมัครเข้ามาเป็นเลขาที่บริษัท Camry ก่อน ทำไปสักพักเริ่มสนใจอยากเป็น Recruiter ก็ไปทำและก็เริ่มสนใจงานด้านการพัฒนาบุคลากร สนใจชอบ Training ก็เลยไปทำด้านนั้นกับอีกบริษัทหนึ่ง และในเวลาต่อมาถูกโปรโมทเป็น HR Manager และสุดท้ายก็ได้ตัดสินใจออกมาเปิดบริษัทด้าน Training เป็นของตัวเอง
  • Occupation จะคล้ายๆกับ Job แต่มันจะเจอะจงกว่าว่าเป็นงานชนิดไหน Field ไหน เช่น Engineer, Nurse, Marketing Specialist, Accountant, Doctor, Lawyer อย่างของคุณชมพู่นี่ Occupation คือ HR Field
  • Job คืองานที่เราทำแล้วได้เงินด้วยโดยส่วนใหญ่ อย่างในที่นี้ Job ของคุณชมพู่ก็คือแต่ละตำแหน่งที่คุณชมพู่ทำ เช่น Recruitment Officer, HRD Assistant Manager, HR Manager เป็นต้น

พอจะเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับว่า Career หมายถึงอะไร สังเกตว่าใน Career Journey ของคุณชมพู่ จะมีอยู่หลาย Job คนเราในชีวิตหนึ่งจะมีแค่ Career เดียว แต่ว่าสามารถมี Job ได้หลายๆ Job ครับ เพราะฉะนั้นคำว่า Career Planning มันก็คือการวางแผนเส้นทางอาชีพของคุณ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องมีการเลือก (Make choices) ว่างานไหนเหมาะกับคุณมากที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ และทำยังไงถึงจะได้งานๆนั้น ในตัวอย่างของคุณชมพู่ ตอนแรกคุณชมพู่อยากจะทำเป็น Training Officer เหมือนกันตอนที่ยังเป็นเลขาอยู่ แต่ยังไม่มีประสบการณ์ด้าน HR เลย ก็เลยสมัครตำแหน่งที่เปิดอยู่ที่บริษัทเดิมไปเป็น Recruitment Officer พอทำไปสักพักจนมีความรู้ HR ค่อนข้างดีแล้ว และเริ่มศึกษาด้าน Learning & Development ในงานที่ทำเป็น Recruitment ไปด้วย ก็เลยไปสมัครงานอีกบริษัทหนึ่งชื่อ Accord และก็ได้งานตำแหน่ง HRD Assistant Manager สมใจปอง จากตัวอย่างนี้ เห็นมั้ยครับว่ามันต้องมีการเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับคุณชมพู่เข้ามาเกี่ยวข้อง พอคุณชมพู่เลือกแล้วว่าอยากจะทำงานด้าน HR Development แทนที่คุณชมพู่จะทำต่อที่เดิม คุณชมพู่ไม่เลือกที่จะทำแบบนั้นเพราะอยากลองย้ายบริษัทดูบ้าง จะได้เจอสิ่งใหม่ๆ Exposure ใหม่ๆ และการลงมือทำ (Take action) ก็คือการเตรียมตัวและทำให้ได้มาซึ่งงานนั้นเช่น ทำ Resume ทำ Career Search Plan และเตรียมตัวสัมภาษณ์งานจนสุดท้ายสัมภาษณ์ผ่านและได้งานนั้นมาครับ

2. Learning about yourself เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง

สิ่งที่สำคัญมากๆที่หลายๆคนลืมไปเวลาเลือกงานหรือไปสมัครงานที่ไหนคือ ศึกษาเกี่ยวกับตัวคุณเองก่อนว่าคุณต้องการอะไร

  • Passion ของคุณคืออะไร เช่น คุณชมพู่มี Passion ในด้านการสอนและด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพราะเธออยากให้คนที่เธอสอนมีศักยภาพที่ดีขึ้น
  • Lifestyle ของคุณเป็นแบบไหน คุณชอบงานอิสระแบบเป็นเจ้านายตัวเอง หรือ Freelance หรืองานที่ทำใน Corporate(9-6)
  • คุณมี Skills อะไรบ้างที่คุณทำได้ดี ได้เก่งกว่าชาวบ้าน และอะไรคือจุดอ่อนของคุณ
  • คุณสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เช่นน้องแอปเปิ้ลชอบการท่องเที่ยว ก็เลยสมัครงานบริษัท Tour
  • คุณมี Work Value อะไรเช่น คุณชอบงานที่ท้าทาย ถ้าไม่ท้าทายก็ไม่อยากทำ คุณชอบงานที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น คุณได้งานที่ได้พบปะผู้คนอยู่ตลอดเวลา คุณมี Work Life Balance คุณทำงานที่ได้เงินเยอะๆ
  • คุณมีประสบการณ์มั้ย ถ้าไม่มีต้องไปทำงานที่ไหนก่อน เหมือนคุณชมพู่ที่ไม่มีประสบการณ์ด้าน HR ก็ต้องทำจากที่หนึ่งก่อนเพื่อปูทางสำหรับงานที่เธออยากได้มากกว่าสำหรับอนาคต

พอรู้จักตัวเองดีแล้วมันจะช่วยให้คุณจับทางถูกว่าเส้นทาง Career ไหนที่คุณควรจะมุ่งหน้าไป เพื่อไปให้ถึงงานที่ตอบโจทย์คุณจริงๆในอนาคต

3. Learning about jobs เรียนรู้เกี่ยวกับงาน

พอคุณรู้จักตัวเองแล้ว เสต็ปถัดมาคือ ต้องศึกษาค้นคว้า และเรียนรู้เกี่ยวกับงานที่คุณอยากจะทำจริงๆ ให้ดูที่ 4 เรื่องนี้เป็นหลัก ให้คุณพยายามเอาตัวคุณเองไปผูกกับ 4 สิ่งนี้ว่าอะไร Match กันบ้าง

3.1 Industry: คุณมี Passion, Interest, Experience, Skills, Knowledge ด้านไหน คุณก็ลองหาให้เจอว่า อุตสาหกรรมไหนที่ตรงกับสิ่งที่คุณมี อย่างคุณชมพู่เลือกมาทำงานด้าน HR และเปิดบริษัทตัวเองเพราะเธอมี Passion, Interest, Experience, Skills, and Knowledge มาด้านนี้โดยตรง

3.2 Company: ในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีบริษัทมากมายที่คุณอาจจะหมายตาเอาไว้แค่บางบริษัท จากสินค้าของเค้า นโยบายของเค้า วัฒนธรรมองค์กรของเค้า คุณก็สามารถเริ่มจากการลองตั้งเป้าสมัครในบริษัทพวกนั้นก่อนตามความชอบของคุณ

3.3 Function: หมายถึงงานประเภทไหน คุณชมพู่ทำทั้งเป็น Admin, Recruitment, Training แต่สุดท้ายคุณชมพู่จับจุดตัวเองได้ว่า จริงๆแล้วเธอชอบงานด้าน Training ที่สุดเธอถึงได้ออกมาเปิดทำบริษัทนี้ด้วยตนเองเลยยังไงละครับ ตัวอย่าง Function อื่นๆเช่น IT, Finance, Sales & Marketing, Legal, Administration, Customer Service

3.4 Job: คือการ Pin Point ไปเลยว่าตำแหน่งประเภทไหนที่คุณอยากทำ เช่น ผมอยากจะเป็น Sales Manager ให้กับบริษัท P&G ครับเพราะผมทำงานที่ Johnson & Johnson มา 5 ปีแล้วและผมชอบอุตสาหกรรม FMCG (Fast Moving Consumer Goods) อย่างคุณชมพู่ก็ Pin Point ไปเลยเหมือนกันว่าเธออยากจะเป็น HR Development หรือ HR Manager เพื่อจะได้มีประสบการณ์ ความรู้ในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง

จากการศึกษาเกี่ยวกับงานทั้ง 4 อย่างนี้ พอจะเริ่มเห็นภาพลางๆรึยังครับว่า สุดท้ายแล้ว Job ไหนน้าที่น่าจะเหมาะกับคุณ

4. Timing / Opportunities เวลาและโอกาส

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรสามารถได้มาชั่วข้ามคืน ยกเว้นคุณถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 นะครับ

ประเด็นคือ พอคุณเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองแล้ว เรียนรู้เกี่ยวกับงานแล้ว รู้แล้วว่าคุณต้องการอะไร ทีนี้ก็สั่งสมประสบการณ์ ไม่ว่าจะใช้เวลาหลายเดือน หรือหลายปี และรอให้โอกาสนั้นมาถึง คุณก็กระโดดเข้าไปรับไว้ครับ มันเหมือนค่อยๆต่อจุดไปทีละจุด (Connecting dots) จนไปถึงจุดที่ใช่จริงๆ

สรุปหลังจากที่คุณได้เนื้อในหรือคำตอบของ Learning about yourself, Learning about jobs, and Timing / Opportunities แล้ว คุณก็ใช้ Career Planning เข้าไปตัดสินใจเลือกว่างานไหนเหมาะกับคุณที่สุดและลงมือทำ ลงมือหางานที่คุณต้องการ และสานฝันด้วยการเดินไปในเส้นทางที่คุณมั่นใจว่ามันส่งผลให้คุณเข้าใกล้ ‘งานในฝัน’ หรือ ‘เนื้อคู่งาน’ ของคุณ

แต่ขอเตือนนึดนึงนะครับว่า บางทีคุณอาจจะคิดว่า งานนี้หรืองานนั้นน่าจะเป็น ‘เนื้อคู่งาน’ ของคุณ แต่จริงๆมันอาจจะไม่ได้เป็นก็ได้ เพราะการจะรู้ได้บางทีมันก็ขึ้นอยู่กับ เวลา (Time) ด้วย ผมเคยคิดว่าผมชอบงานด้านการการท่องเที่ยวมากที่สุด และก็เปลี่ยนไปนึกว่าชอบด้าน High Technology มากที่สุดตอนที่ผมอาศัยอยู่ที่อเมริกา แต่สุดท้ายผมมาตกหลุมรักงานด้าน HR ด้าน Career Coaching มันก็ไม่ต่างอะไรกับคุณมีแฟนเก่าแล้วนึกว่าเขาหรือเธอคนนั้นเป็นเนื้อคู่ของคุณ แต่สรุปเลิกกัน และสุดท้ายไปเจอคนที่ใช่ยิ่งกว่า มันก็เป็นไปได้ครับ และในทางกลับกันบางคนหรือหลายๆคนก็อาจจะไม่เคยได้เจอเนื้อคู่ของตนเองเลยก็ได้ ของแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้ เพราะบนโลกของเราไม่มีคำว่า Perfect มันเป็นเรื่องธรรมชาติของโลกมนุษย์ แต่การที่เราทำให้ดีที่สุด วางแผนได้ดีที่สุด พยายามให้มากที่สุด แล้วถ้าเรายังไม่ได้เนื้อคู่งานของเราจริงๆ อย่างน้อยๆเราก็อาจจะไปได้งานที่ไม่ใช่เนื้อคู่ แต่เราก็ Enjoy กับมันเหมือนกัน หรือไม่แน่งานนั้นอาจเป็นเนื้อคู่ของคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัวก็เป็นไปได้ ของแบบนี้มันไม่มีถูก ไม่มีผิด ไม่มีดำ หรือ ขาว บางทีมันก็เป็นเรื่องของ Faith and Destiny เหมือนกันครับ ยังไงลองเอาสูตรนี้ไปหากับตัวเองดูนะครับ ขอให้สมหวังและพบเนื้อคู่งานของคุณในที่สุดและ Happily Ever After ครับ


  • 30
  •  
  •  
  •  
  •  
Mark Laothavornwong
Mark Laothavornwong เป็น Career Coach ชั้นนำในประเทศไทย และเป็นผู้เขียนหนังสือ “8 มหาคำถามที่มนุษย์สมัครงานทุกคนต้องอ่าน” หาซื้อได้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
CLOSE
CLOSE