“หลานม่า” ดึงรายได้ GDH พุ่งเกินเป้า กอบเงินทั่วโลกกว่า 1,200 ล้าน เตรียมไปต่อบุกทั้งในและนอกประเทศเพิ่ม พร้อมเปิดตัว LINEUP ใหม่อีก 5 เรื่องถึงปี 2568

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

GDH จัดงาน “GDH LINEUP 2025 LOOK FORWARD รุก (เกิน) คาด เตรียมออกเดินทางไปพบโปรเจกต์ใหม่จากปีนี้ สู่ปี 2025 ประเดิมต้นปีนำร่องความสำเร็จด้วยภาพยนตร์ “หลานม่า” ที่ทำรายได้ บ็อกซ์ออฟฟิศ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ไปถึง 172 ล้านบาท ทำรายได้ทั่วประเทศ 339 ล้านบาท และทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 1200 ล้านบาท เป็นหนังไทยที่ทำลายสถิติทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทำสถิติเป็นหนังที่มียอดคนดูสูงสุดใน อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์,ฟิลิปปินส์, เมียนมา,  เวียดนาม นอกจากนี้ หลานม่า เตรียมเข้าฉายในเทศกาลหนังที่นิวยอร์ค และกำลังฉายที่ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ รวมถึงไปฉายที่จีน,ญี่ปุ่น,เกาหลีใต้ และเตรียมไปเปิดตลาดที่ยุโรป เข้าฉายที่ เบลเยียม, เนเธอร์แลนด์ จากนั้นยังคงเดินหน้าไปฉายทั่วโลก

 

ภาพรวมอุตสาหกรรมหนังหล่น แต่หนังไทยรายได้ดี ไปได้สวย

จินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด เปิดเผยถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในครึ่งปี 2567 ว่า มีหนังเข้าฉายประมาณ 150 เรื่อง ทำรายได้ประมาณ 1,223 ล้านบาท (เฉพาะกรุงเทพฯ เชียงใหม่) โดยแบ่งเป็น ภาพยนตร์ไทย 23 เรื่อง ทำรายได้  439 ล้านบาท ภาพยนตร์ต่างประเทศ จำนวน 127 เรื่อง ทำรายได้ 785 ล้านบาท ซึ่งภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินในต้นปี อันดับ 1 ได้แก่ หลานม่า ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ กรุงเทพ-เชียงใหม่ 172 ล้านบาท (ณ วันนี้ยังคงฉายอยู่)

“ภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ครึ่งปีแรก ของปี  2567 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2566 รายได้ภาพรวมลดลงนิดหน่อย ประมาณ 1 % แต่หนังไทย กลับรายได้สูงขึ้น 62% โดยปี 2567 GDH ประมาณการรายได้อยู่ที่ประมาณ 590 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 214 ล้านบาท หรือ 57% หลักๆ มาจากรายได้ภาพยนตร์ประมาณ 217 ล้านบาท หรือ 37% รายได้จากต่างประเทศ 230 ล้านบาท หรือ 39% ซึ่งรายได้กลุ่มนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 5 เท่า โดยสัดส่วนหลักๆ 60 % ของรายได้ทั้งหมดนี้มาจาก หลานม่า”

ปรากฏการณ์ “หลานม่า” อิมแพ็คทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฟันรายได้แล้ว 1,200 ล้าน

จินา ได้เปิดเผยถึงการสร้างปรากฎการณ์ของภาพยนตร์หลานม่า” ว่า “หลานม่า เป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ลูกหลานพาครอบครัว ผู้ใหญ่ ออกมาใช้เวลาดูหนังร่วมกันในช่วงวันหยุด และสร้างกระแสทอล์คออฟเดอะทาวน์ที่ทุกบริษัทออกมาประกาศวันหยุดให้วันที่ 4 เมษายน เป็นวันหยุดเพื่อให้พนักงานกลับไปหาครอบครัว และใช้เวลาอยู่กับคนที่บ้าน นอกจากนี้หลานม่ายังทำรายได้เป็นอันดับ 1 หนังทำเงินบ็อกซ์ออฟฟิศในกรุงเทพ ของค่าย GDH ขณะที่ต่างประเทศ ได้สร้างปรากฏการณ์น้ำตาท่วมจอที่ประเทศอินโดนีเซีย ในรอบพรีวิวฉายวันแรกให้กับอินฟูเอนเซอร์ชื่อดัง ต่างยกให้ หลานม่า เป็นภาพยนตร์ที่งดงามเข้าถึงหัวใจผู้ชมและเชื่อมโยงกับชีวิตตัวเองออกมาบนจอภาพยนตร์ จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

จินา กล่าวถึงการเดินทางของ “หลานม่า” ด้วยว่า “ตอนนี้หลานม่า เข้าฉายแล้วที่ อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์, ลาว, มาเลเซีย,บรูไน, สิงคโปร์, เวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฮ่องกง และกำลังเข้าฉายที่จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น  ซึ่งกำลังรอสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ในต่างแดน รวมถึงได้เข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ครั้งที่ 77 ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศ กรุงเทพ-เชียงใหม่ 172 ล้านบาท (ณ วันนี้ยังฉายอยู่) ส่วนรายได้ทั่วประเทศอยู่ที่ 339 ล้านบาทและยังทำลายสถิติแต่ละประเทศ ทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับในประเทศสิงคโปร์ ภาพยนตร์หลานม่ากลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่เปิดตัวรายได้สูงสุด นับตั้งแต่ปี 2013 อีกด้วย

“ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ มองว่าเป็นความเก่งกาจของคนทำหนัง ทั้งผู้กำกับและคนเขียนบท เป็นทีมงานที่สุดยอด วันที่พวกเรา (บอร์ดบริหาร) ได้อ่านหนังเรื่องนี้ พวกเราทุกคนชื่นชมมาก แม้ว่าในวันที่อ่านหนังแล้วเราอาจจะแอบกังวล ว่าหนังครอบครัวหนังทำดราม่า มันไม่มีทางทำเงินได้หรอก ในความเชื่อตรงนั้น มันอาจจะไม่ได้เป็นหนังที่ทำเงินได้มาก แต่เราอยากทำหนังที่ดี และเราก็เชื่อว่าหนังที่ดีมันจะขยายคนดู แต่ที่พวกเราอ่านบทแล้ว บทมันดีมากจริงๆ มันดีมากจนที่เรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่ทำเรื่องนี้ เราจะเสียใจมาก วันที่พี่เห็นคัทติ้งแรก ความรู้สึกเหมือนตอนที่พี่ทำ ‘แฟนฉัน’ อยากเอาหนังออกมาให้คนชมกัน มีอารมณ์ว่าอยากจะเอาออกมาอวดแล้ว”

ความสำเร็จในต่างประเทศ ทำลายสถิติหนังไทยทำเงินดีที่สุดในอาเซียน

สำหรับตลาดต่างประเทศ เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เกินความคาดหมาย เราเชื่อว่าในประเทศเราดีมากๆ และต่างประเทศอาจจะแค่ไปได้ แต่ปรากฏว่า มันคือความเกินคาด ซึ่งเริ่มที่ประเทศอินโดนีเซีย ในวันแรกที่เราให้อินฟลูเอนเซอร์ของอินโดนีเซียดู มันกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว #น้ำตาท่วมจอ กันเลย เรียกได้ว่าสุดๆ จริงๆ โดยที่วันที่ 2 ของการฉาย รายได้ขึ้นมา 90% เลย แล้วก็ขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นหนังไทยที่ทำเงินสูงสุดในอินโดนีเซียเลย และทำรายได้ใกล้เคียงกับบ้านเราเลยทั้งที่ตั๋วหนังเขาถูกกว่าเราเยอะ

“จากกระแสหนังที่ต่างประเทศดีมาก ทำให้โรงภาพยนตร์ตัดสินใจนำหนังเรื่องหลานม่า กลับมาฉายใหม่อีก แต่ในสาขาที่มองว่าคนจะกลับมาดูอีก ซึ่งอาจจะไม่ได้ทั่วประเทศ และเชื่อว่าคนที่พลาดไปก็จะได้โอกาสมาดูเรื่องนี้ได้”

สำหรับ “หลานม่า” ที่ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เราสามารถ Break the record คือเป็นภาพยนตร์ไทยแรกที่สามารถทำรายได้มากที่สุด เรียกได้ว่า เป็นการเปิดประตูสู่มิติต่างๆ โดยเฉพาะเปิดตลาดในต่างประเทศ ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่า เราได้เดินมาในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว ทำให้เราเชื่อมันในสิ่งที่ทำมากขึ้น

5 ปรากฏการณ์หนัง “หลานม่า” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับหนังไทย

  1. การสร้างความประทับใจ ความอบอุ่นหัวใจ ทั้งของคนดูไทยและคนดูที่ต่างประเทศ
  2. วัฒนธรรมด้านครอบครัว ที่แม้จะต่างที่ต่างภาษา แต่ส่งที่เหมือนกันคือเรื่องความรักความกตัญญูซึ่งอันนี้เป็นเหมือนกันทั่วโลก
  3. ช่วยให้คนทำหนังไทยมีกำลังใจ ที่จะสร้างสรรค์งานที่แปลกและสดใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหนังแบบเดิมๆ จะช่วยให้คนทำหนังกล้าคิดกล้าสร้างได้มากกว่าเดิมที่เราคิดว่าคนไทยต้องดูหนังแบบนี้เท่านั้น เป็นการทำหนังที่ช่วยยกระดับมาตรฐานและก็โตขึ้นกว่าเดิมด้วย
  4. คนทำหนังที่เป็นนักแสดงหรือผู้กำกับทุกคน รู้สึกมีกำลังใจ คือคุณค่ามันไม่ได้มาจากเงิน แต่คุณค่ามันมาจากคนดูที่ให้การต้อนรับ เราเดินสายที่เวียดนามแล้วเห็นวัยรุ่นเดินร้องไห้ออกมาจากโรง พอเห็น “คุณยายแต๋ว” ยืนอยู่เขาเดินเข้ามากอดแล้วร้องไห้ โอ้โห เรายังน้ำตารินเลย แล้วบอกว่าทำให้เขาคิดถึงคุณย่าแล้วก็ขอบคุณคนทำหนังเรื่องนี้ด้วย เป็นปรากฏการณ์ทีทำให้คน GDH รู้สึกมีพลังเพิ่มกลับมา จากที่ปีที่แล้วเราก็ทำงานหนักแต่หนังอาจจะไม่ได้เข้าเป้า
  5. พระเอก – นางเอก พันล้าน หลังจากที่ “มาริโอ้ – ใหม่ดาวิกา” ทำได้ (ห่างกันจากเรื่อง “แม่นาก” ราว 11 ปี) แต่ความน่าชื่นใจคือ นางเอกพันล้านท่านนี้อายุ 78 ปี แต่สุขภาพยังแข็งแรงอยู่เลย

วางเป้าหมายปีหน้าต้องแตะที่ 600 กว่าล้านบาท

สำหรับปีนี้ (ปี 2567) คาดว่าน่าจะอยู่ที่ 400 ล้านบาท ซึ่งยังไม่จบครึ่งปีดี เราก็สามารถทำรายได้ทะลุเป้าไปแล้ว โดยขณะนี้เรามีรายได้จากภาพยนตร์ต่างๆ ประมาณ 590 ล้านบาท ขณะที่ รายได้ที่ตั้งเป้าหมายไว้ในปีหน้า (ปี 2568) วางไว้ที่ 600 กว่าล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากแต่ก็มั่นใจว่าเราจะทำได้

สำหรับความคาดหวังผลตอบรับในปีหน้า มองว่าเรื่องไหนจะมาแรงมากที่สุด ผู้บริหาร GDH ระบุว่า อันที่จริงเราก็หวังกับหนังของเราทุกเรื่อง อย่าง “วิมานหนาม” เราก็หวังมากเช่นกัน เพราะว่าเป็นหนังที่เรานำเสนอเรื่องความหลากหลาย รวมถึงเราตั้งใจจะเข้าไปหากลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีมุมมองในเรื่องนี้ รวมไปถึงกลุ่มของแฟนคลับจากทั้ง “เจฟ ซาเตอร์” และ “อิงฟ้า” แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับหนังเรื่องนี้ เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้อง 100 ล้านหรืออะไร แต่เรามองไปที่จะหนังได้บอกอะไรกับสังคม หรือให้อะไรกับสังคมได้บ้าง

ทั้งนี้ GDH เราได้มีการตั้งแผนกที่เรียกว่า Business Development คือการบุกเรื่องการเสริมศักยภาพทางธุรกิจในด้านต่างๆ ที่มากกว่าการทำภาพยนตร์ เช่น การทำเมอร์เชนไดรส์ ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจเกม ฯลฯ เรียกว่าเป็นการพัฒนาในแอเรียอื่นๆ ซึ่งจะเป็นการเติบโตอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ที่เราร่วมกับแบรนด์ “ยืดเปล่า” ที่เป็นแบรนด์ของคนรุ่นใหม่ เราก็เข้าไปจับมือทำเสื้อยืดร่วมกัน ลักษณะนี้เป็นต้น

มีเงินอย่างเดียวผลักดันธุรกิจหนังไทยไปไกลระดับโลกไม่ได้ ภาครัฐต้องหนุน 

เมื่อถามถึงภาพรวมอุตสาหกรรมหนังในปัจจุบันเป็นอย่างไร คุณจินา ระบุว่า เชื่อว่า อุตสาหกรรมของเราน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งปีหลังนี้น่าจะเป็นปีที่คึกคักได้ อย่างหนังต่างประเทศดีๆ ก็น่าจะเข้ามาในช่วงหลังเช่นกัน ดังนั้น เชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรมหนังในครึ่งปีต่อจากนี้น่าจะดีขึ้น

สำหรับการลงทุนทำหนัง ในอดีตใช้เงินลงทุน ราว 30 กว่าล้านบาท แต่ถ้ารวมกับการทำการตลาดทำโปรโมทด้วย ก็จะอยู่ที่ราว 50 ล้านบาท แต่ปัจจุบันหนังส่วนใหญ่ใช้เงินลงทุนราว 70 – 100 ล้านบาทแล้ว (รวมการตลาดและโปรโมทด้วย) ซึ่งถ้าต้องพาไปต่างประเทศด้วยก็อาจจะบวกเพิ่มไปอีก

ความท้าทายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทั้งด้วยสภาพเศรษฐกิจและพฤติกรรมคนดูที่เปลี่ยนไป รวมถึงการแข่งขันในตลาดที่เพิ่มขึ้น “จิน่า” ระบุว่า สิ่งที่เราทำให้ได้คือ การทำหนังออกมาให้ดีที่สุด ทำหนังออกมาให้ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา พาคนมาดูที่โรงให้ได้ ซึ่งยังเชื่อเสมอว่าการทำคอนเทนต์ให้ดีจะพาคนมายังโรงเอง ซึ่งหนังหลานม่าคือตัวอย่างที่ดีที่สุด และหนังที่ดีมันจะไปได้ทั่วโลกเลย ถ้าเราทำได้ดียังไงก็ไปได้ ที่สำคัญคือหาเป้าหมายให้ชัด หรือยกตัวอย่างหนังสัปเหร่อ ที่ผู้ชมชัดมากว่าคือคนไทยซึ่งทำให้คนดูสนุกได้ แต่สำหรับ GDH เราต้องไปให้ไกลที่สุด

“สิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมหนังไทยเราไปได้ไกล และก้าวไปถึงระดับโลกได้ มองว่าลำพังแค่มีเงินอย่างเดียวมันไม่พอ จำเป็นที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้วย และอย่างต่อเนื่อง เราไม่สามารถไปเองได้ จริงๆ สิ่งที่เราทำคือการสร้างคอนเทนต์ที่ดีที่สุด สร้างและผลักดันคนรุ่นใหม่ให้เข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์มากที่สุด แต่สุดท้าย มันก็ยังต้องการการซัพพอร์ตที่ดีของรัฐ ซึ่งเกาหลีใต้คือตัวอย่างที่ดี ที่เขาได้รับการผลักดันจากภาครัฐอย่างเต็มที่ ทั้งระบบและสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์เขาถึงได้ไปไกลมาก ไม่ว่าจะเป็น การเรียนฟรีด้านภาพยนตร์ การตั้งกองทุน การลดภาษี ฯลฯ รัฐควรเข้ามากระตุ้นให้เห็นอย่างชัดเจนและในระดับฐานรากด้วย” ผู้บริหาร GDH กล่าวทิ้งท้าย

GDH รุก (เกิน) คาด เปิด LINEUP 2025 หนังเรื่องใหม่ 5 เรื่อง 5 รส

สำหรับเดือนสิงหาคม พบกับภาพยนตร์ที่  GDH ร่วมทุนกับ  JAI STUDIOS  ในหนังดราม่า เชือดเฉือน

  • เรื่อง “วิมานหนาม” ผลงานจากผู้กำกับซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ บอส นฤเบศ กูโน โปรดิวซ์โดย วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์ นำแสดงโดย เจฟ ซาเตอร์, อิงฟ้า วราหะ, เต้ย พงศกร เมตตาริกานนท์, เก่ง หฤษฎ์ บัวย้อย และ สีดา พัวพิมล ที่จะเข้าฉายในวันที่ 22 สิงหาคมนี้
  • สนุก ตลกส่งท้ายปีกับหนังผี คอมเมดี้ “404 สุขีนิรันดร์..RUN RUN” หนังที่ GDH ร่วมทุนกับ รฤก โปรดักชั่น ซึ่งเป็นการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์มากฝีมือ ยอร์ช ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ เป็นครั้งแรก กำกับโดยผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง เสือ พิชย จรัสบุญประชา นำแสดงโดย เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี, ต้าเหนิง กัญญาวีร์ สองเมือง, นุ้ย เชิญยิ้ม, ต้าห์อู๋ พิทยา แซ่ฉั่ว, อาไท สุภทัต โอภาส, ปุ๊กกี้ ปวีณ์นุช  แพ่งนคร
  • จากนั้นย้อนรำลึกถึงหนัง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” ที่ครบรอบ 20 ปีตำนานความระทึกขวัญ นำกลับมารีมาสเตอร์ใหม่ ฉายให้ได้ชมกันอีกครั้ง ผลงานของ 2 ผู้กำกับ โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล และ โอ๋ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ
  • ประเดิมเปิดปี 2025 กับภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอย เพราะเป็นการกลับมาร่วมงานกันของ 2 นักแสดงคู่ขวัญสุดฮอต บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ พีพี กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ที่โคจรมาเจอกัน ในหนังคอมเมดี้ Project Red” (ยังไม่มีชื่อเรื่องที่ชัดเจน แต่เป็นโปรเจ็คต์ที่กำลังปลุกปั้นอยู่) ที่ GDH ร่วมกับ Billkin Entertainment และ PP Krit Entertainment ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ หมู ชยนพ บุญประกอบ โปรดิวซ์โดย โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล และ วีรชัย ใหญ่กว่าวงศ์
  • หนัง Coming-of-Age/Drama เรื่อง Flat Girls” ผลงานผู้กำกับหญิงจากซีรีส์ ONE YEAR 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ แคลร์ จิรัศยา วงษ์สุทิน นำแสดงโดย เอินเอิน ฟาติมา เดชะวลีกุล, แฟร์รี่ กิรณา พิพิธยากร, บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และ อาโป วชิรากร
  • เรื่อง “Beauty and The Beat” หนังเวรี่คอมเมดี้ ผลงานผู้กำกับ ไตเติ้ล กิตติภัค ทองอ่วม โปรดิวซ์โดย เดียว วิชชพัชร โกจิ๋ว และ สุวิมล เตชะสุปินัน นำแสดงโดย ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกร, นุนิว ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์, ปิงปอง ธงชัย ทองกันทม และ นินิว เพชรด่านแก้ว

ขอขอบคุณผู้ชมและผู้มีอุปการะคุณทุกท่าน ที่นำพาให้หนังหลานม่า ประสบความสำเร็จในทั้งในเมืองไทยและไปได้ไกลถึงทั่วโลก ขอฝากเป็นกำลังใจให้กับหนัง GDH เรื่องต่อๆ ไปด้วยนะคะ 22 สิงหาคมนี้ พบกับหนัง ดราม่า เชือดเฉือน “วิมานหนาม” ในโรงภาพยนตร์” จิน กล่าวในตอนท้าย

 


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!