เพราะมีปัจจัยที่เข้ามาเป็นตัวแปรในธุรกิจมากมาย และล้วนเป็นปัจจัยที่ยากจะคาดเดาและควบคุม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจนี้ จึงขอสร้างทางโตด้วยตนเองและลดความเสี่ยงทางธุรกิจ เดินหน้าปั้น Own Project โปรเจ็คที่พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะถูกจัดขึ้นทั้งในประเทศ และต่อยอดไปต่างประเทศ โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ธุรกิจกลุ่มนี้เพิ่มเป็น 20-25% ในอีก 2-3 ปี
ต้องยอมว่าด้วยปัญหาต่าง ๆ ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การเมือง ภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์ความไม่สงบ ฯลฯ ส่งผลภาพรวมของธุรกิจอีเว้นท์ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาตกอยู่ในช่วงขาลงมาตลอด รวมถึงปีที่ผ่านมา ที่ธุรกิจนี้ติดลบไป 10% มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 11,250 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมของธุรกิจอีเว้นท์ในปี 2561 จากสถานการณ์หลายอย่าง ๆ เริ่มนิ่ง และเศรษฐกิจมีแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น ทำให้ เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ในปีนี้ธุรกิจอีเว้นท์จะกลับมาเติบโตครั้งแรกในรอบ 5-6 ปี โดยจะมีการเติบโต 5-10% ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณคึกคักตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะในส่วนของกิจกรรมทางการตลาดจากแบรนด์ต่าง ๆ
“แต่ในความนิ่ง ย่อมมีความผันผวน เราต้องตั้งรับและปรับให้ทัน” เกรียงไกรกล่าว
ทิศทางการดำเนินธุรกิจของอินเด็กซ์ต่อจากนี้ จึงพยายามสร้าง Own Project หรืออีเว้นท์ที่สร้างขึ้นมาเองให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอีเว้นท์ด้านไลฟ์สไตล์ เทรดแฟร์ และธุรกิจสร้างสรรค์ต่างๆ โดยอีเว้นท์นั้นจะถูกจัดขึ้นต่อเนื่องอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อลดความเสี่ยงทางธุรกิจและให้สามารถคาดการณ์รายได้ในแต่ละปีได้แบบไม่ต้องรอลูกค้าจ้างเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบันอีเว้นท์ดังกล่าวมีอยู่ประมาณ 10 โปรเจ็คที่ถูกจัดขึ้นทั้งในไทยและในต่างประเทศที่ทางอินเด็กซ์เข้าไปลงทุน ได้แก่ เมียนมา , กัมพูชา , เวียดนาม และมาเลเซีย อาทิ ในไทย เช่น งานเคาท์ดาวน์ที่เซ็นทรัลเวิล์ด ซึ่งขณะนี้มีชื่อเสียงติดอันดับโลกไปแล้ว ฯลฯ ส่วนงานในต่างประเทศ อาทิ Cambodia Architect & Décor 2018 ในกัมพูชา , Myanmar FoodBev , Myanmar Retail Sourcing Expo 2018 , Myanmar Build & Décor 2018 ในเมียนมา
สำหรับในปี 2561 ได้มีการเปิดตัว Own Project ใหม่ไปแล้ว 2 โปรเจ็ค ได้แก่ ‘กิโลรัน’ (KILORUN) มหกรรมงานวิ่งยุค 2018 ในคอนเซปต์ ‘กิน เที่ยว วิ่ง ในทริปเดียวกัน’ เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่รักสุขภาพ ชอบเที่ยว แต่ยังชอบกินอยู่ ซึ่งจะจัดขึ้นใน 4 เมืองของ 4 ประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ (ไทย), บาหลี (อินโดนีเซีย), ญี่ปุ่น(โอซาก้า) และฮานอย(เวียดนาม)
อีกโปรเจ็คเป็นงานแฟร์ในต่างประเทศ นั่นคือ ‘เมียนมา อินเตอร์เนชั่นแนล ทัวร์ริซึ่ม แอนด์ เวดดิ้ง เอ็กซ์โป 2018’ (Myanmar International Tourism and Wedding Expo 2018) ซึ่งเกิดจากการมองเห็นอากาสทางธุรกิจที่ปัจจุบันคนเมียนมาต้องการออกไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีคนอยากเข้าไปทำธุรกิจในประเทศนี้มากขึ้นเช่นเดียวกัน
“ถือเป็นไดเรคชั่นของเรา เพราะไม่อยากพึ่งฟ้าพึ่งฝนรอลูกค้าจ้างอย่างเดียว แม้บางโปรเจ็คเงินไม่ได้มาก แต่ทำให้คาดการณ์รายได้ของตนเองได้ ลดความเสี่ยงทางธุรกิจหลาย ๆ อย่าง และงานพวกนี้จะถูกขยายต่อในประเทศที่เราไปลงทุน โดยเราตั้งเป้าว่า รายได้จากธุรกิจกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 20-25% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันสัดส่วนมีเพียง 5%”
ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศ อีกฐานที่มั่นซึ่งทำให้อินเด็กซ์มีการเติบโตสวนกระแสภาพรวมของธุรกิจอีเว้นท์ที่ติดลบ เกรียงไกรบอกว่า ยังคงโฟกัสในประเทศที่เข้าไปลงทุนอยู่ทั้ง 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา , กัมพูชา , เวียดนาม และมาเลเซีย เพราะทั้งหมดมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีและธุรกิจอีเว้นท์ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็พยายามมองหาโอกาสใหม่ ๆ ด้วยการส่งบางโปรเจ็ตเข้าไปชิมลางตลาด หากเวิร์คก็พร้อมจะขยายต่อไป อย่างเช่น กิโลรัน ที่ถือเป็นการรุกครั้งใหญ่เพราะเป็นการไปบุกตลาดญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก
“ที่ญี่ปุ่น เป็นอีกก้าวที่ขยายโอกาสใหม่ ๆ อนาคตเราอาจไม่วิ่งที่โอซาก้าเมืองเดียว อาจไปเมืองอื่น ๆ เช่นเดียวกับที่บาหลี อินโดนีเซีย ซึ่งหากเวิร์คเราจะเข้าไปในลักษณะ Project Base ไม่จำเป็นต้องไปตั้งออฟฟิคที่นั้น”
สำหรับการเติบโตของอินเด็กซ์ในปีนี้ ตั้งเป้าเติบโตราว 10% จากปีที่ผ่านมาทำรายได้ไปประมาณ 1,800 ล้านบาท มาจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ คือ กลุ่มมาร์เกตติ้ง เซอร์วิส ทำอีเว้นท์ทำรีเสิร์ช 70% , กลุ่มครีเอทีฟ บิสิเนส ดีเวลลอปเมนต์ 25% และ กลุ่ม Own Project 5%
Copyright© MarketingOops.com