โลตัส เสริมประสบการณ์ลูกค้า เปิดตัวสองแบรนด์คาเฟ่ ‘Jungle Cafe-Arabitia’ ชูวัตถุดิบคุณภาพ ในราคาที่เอื้อมถึง

  • 769
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ต้องยอมรับว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กระแสความนิยมการดื่มชากาแฟได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดแต่การเติบโตก็ยังไปได้ดี ดังนั้น เพื่อตอบรับเทรนด์ของความนิยมเครื่องดื่มชากาแฟ โลตัส (Lotus’s) ตัดสินใจเปิดตัวสองแบรนด์คาเฟ่ Jungle Café (จังเกิลคาเฟ่) จำหน่ายในโลตัส โก เฟรช และ Arabitia (อราบิเทีย) จำหน่ายในโลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต ชูจุดเด่นวัตถุดิบพรีเมียมทั้งในประเทศและต่างประเทศในราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง

อย่างที่กล่าวว่า เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมทั้งทิศทางการขยายการเติบโตของ Convenience Store และ Hypermarket ดังนั้น “โลตัส” จึงผลักดันพัฒนาธุรกิจคาเฟ่ ซึ่งนอกจากจะตอบรับกระแสความนิยมในการดื่มชากาแฟแล้ว ยังยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทั้งที่มาจับจ่ายใช้สอยที่โลตัสด้วย เรียกได้ว่าการพัฒนาแบรนด์กาแฟของ “โลตัส” ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการไม่หยุดนิ่งในการเติมเต็มเทรนด์ใหม่ๆ และมองเห็นความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เพราะทุกวันนี้ห้างหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ใช่เฉพาะแค่สถานที่ไว้จำหน่ายจับจ่ายซื้อของแต่เพียงอย่างเดียวอีกแล้ว แต่ยังสามารถเป็นสถานที่ที่ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายและดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาดีๆ ในการช้อปปิ้งได้ด้วย

สำหรับ 2 แบรนด์กาแฟใหม่จาก “โลตัส” มีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ดังนี้

แบรนด์ Jungle Café (จัลเกิ้ลคาเฟ่) ร้านกาแฟรูปแบบ Convenience Store ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการที่ Lotus’s go fresh (โลตัส โก เฟรช) กว่า 1,500 สาขาทั่วประเทศ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคใหม่ เน้นความสะดวกและสะอาด มีให้เลือกหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็น coffee & non-coffee ซึ่งมีพระเอกอย่างกาแฟสดสุดพรีเมียมที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึง ผสมความกลมกล่อมจากอาราบิก้าและโรบัสต้าอย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังมีเมนูเอาใจคนชอบชานมไข่มุกด้วยเมนูสุดฮิตอย่างบุกแบล็คชูการ์ชานมไต้หวันแท้ผสมบุกอร่อยเพลินเคี้ยวหนุบหนับ ที่สำคัญคือ Jungle Café เดินหน้าตอบแทนสังคม เพื่อต่อยอดจากคอนเซ็ปต์ Drink More for Forest โดยร่วมมือกับสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทยเพื่ออนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

 

 

แบรนด์ Arabitia (อราบิเทีย) จำหน่ายในสาขาขนาดใหญ่ ปัจจุบันตั้งอยู่ในไฮเปอร์มาร์เก็ตของโลตัส กว่า 70 สาขา ทั้งในรูปแบบคาเฟ่เต็มรูปแบบ ไปจนถึงเป็นร้านขนาดเล็กที่มีอุปกรณ์เต็มรูปแบบ รวมไปถึงร้านแบบ cloud kitchen สำหรับสั่งเดลิเวอรรี่ได้ด้วย พร้อมเสิร์ฟเมนูจากวัตถุดิบระดับซูเปอร์พรีเมียม ทั้งเครื่องดื่ม รวมไปถึงเบเกอรี่และอาหารพร้อมรับประทานด้วย Arabitia Café สนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในหลายพื้นที่ให้มีรายได้อย่างยั่งยืน ด้วยการรับซื้อเมล็ดกาแฟคัดสรรคุณภาพจากหลายแหล่ง อาทิ “กาแฟน่าน” สายพันธุ์ Arabica ผลผลิตจากโครงการนำมาแปรรูปแบบพิเศษHoney Process ไม่มีน้ำเสียจากกระบวนการ ไม่สร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม, “กาแฟปางขอน” จาก จ.เชียงราย สายพันธุ์ Arabica ปลูกโดยวิสาหกิจชุมชนบนดอยสูงเหนือระดับน้ำทะเล โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านปางขอน, “กาแฟดอยช้าง เฮราโมน” จ.เชียงราย ปลูกโดยวิถีภูมิปัญญาชนเผ่าอาข่าบนบ้านดอยช้าง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะที่สุดของการปลูกกาแฟในประเทศไทย และไม่ใช้สารเคมีใดๆ, “กาแฟไล่โว่” จ.กาญจนบุรี จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาแฟไล่โว่ ที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียรทำงานอนุรักษ์ผืนป่า พร้อมพัฒนาการปลูกกาแฟ Robusta ของกลุ่มไปเป็นกาแฟอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับเมล็ดกาแฟ และสุดท้าย “กาแฟทีลอซู” กาแฟ Arabica ออร์แกนิก จากความร่วมมือของมูลนิธิสืบนาคะเสถียรและชุมชนใกล้เคียง เพื่อหันมาปลูกกาแฟออร์แกนิกใต้ร่มเงาผืนป่า แทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวและการใช้สารเคมี นอกเหนือจากบริการเครื่องดื่มและอาหารที่ร้าน บริการจัดส่งถึงที่แล้ว Arabitia ยังมีบริการจัดเลี้ยงสำหรับโอกาสต่าง ๆ อาทิ ชุดอาหารว่างสำหรับการประชุม ชุดอาหารกลางวัน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าและหน่วยงานต่าง ๆ อีกด้วย

 

 

ในมุมของการตลาดการนั้น เรามองเห็นว่าการที่ “โลตัส” ตัดสินใจเปิด 2 แบรนด์คาเฟ่ใหม่ทีเดียวพร้อมกัน นอกจากจะเป็นการสอดรับเทรนด์ความนิยมการดื่มชากาแฟของคนไทยที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มวาลูให้ธุรกิจ Convenience Store และ Hypermarket อีกด้วย เนื่องจากว่า “โลตัส” เล็งเห็นแล้วว่าในช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา ผู้บริโภคเริ่มคุ้นชินกับการซื้อของเข้าบ้านแบบออนไลน์ และลดการออกมาช้อปปิ้งนอกบ้านน้อยลง ดังนั้น ธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ตจึงต้องเร่งปรับตัวใหม่ ด้วยการยกระดับCustomer Experience เพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ดีมากขึ้น ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันให้เป็นทั้งที่จับจ่ายและกินดื่มได้ด้วย ตอบโจทย์ตรงใช้ในแบบยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) ดึงดูดให้ผู้บริโภคออกมาช้อปปิ้งแบบออนกราวนด์มากขึ้น

และทั้งหมดนี้มันคือการตอบโจทย์เป้าหมายสำคัญของ “โลตัส” ในการมุ่งมั่นที่จะดูแลลูกค้าเพื่อให้ “รู้สึกดีดี ทุกวันที่โลตัส” ผ่านการจำหน่ายสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึงพร้อมความสะดวกสบายในการช้อปปิ้งที่ดีที่สุดนั่นเอง และสุดท้าย สำหรับแบรดน์คาเฟ่ทั้งสองของโลตัสจะเป็นอีกมุมของการสร้างการเติบโตให้ได้หรือไม่เราคงต้องติดตามต่อไป.


  • 769
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE