เบื้องหลังความสำเร็จคือความใส่ใจที่มีต่อชุมชน กรณีศึกษาจากเนสท์เล่ คอร์เปอเรท ระดับโลก

  • 12K
  •  
  •  
  •  
  •  

การทำ CSR ขององค์กรธุรกิจต่างๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป ซึ่งแต่ละองค์กรก็มีคอนเซ็ปต์และรูปแบบที่แตกต่างกันไป และสังคมปัจจุบันก็คาดหวังว่าจะเห็นการทำ CSR ที่จริงจังและเกิดประโยชน์ยั่งยืนจากบรรดาองค์กรต่างๆ  นั้น และตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือการวิวัฒนาการจาก CSR ไปสู่มิติใหม่แห่งการสร้างประโยชน์ให้สังคมในรูปแบบของ CSV (Creating Shared Value)

ชื่อเสียงของ “เนสท์เล่” แบรนด์ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในแง่ “การสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม”  หรือ CSV  ที่สามารถสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชุมชนได้ เป็นการยกระดับการดำเนินธุรกิจขององค์กรเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน

ทั้งนี้ “เนสท์เล่”  ได้ตั้งเป้าเรื่องการทำเพื่อชุมชน ไว้เป็น 1 ใน 3 หัวใจสำคัญของการทำงาน ภายใต้เจตนารมณ์ “การเพิ่มพูนคุณภาพชีวิต เสริมสร้างสุขภาพดีสู่อนาคต”  นอกเหนือจากการทำงาน โดยคำนึงถึงผลกระทบเชิงบวกแก่ผู้คน และสิ่งแวดล้อม

สร้างงาน สร้างรายได้ชุมชน ผลิตสินค้าคุณภาพ

กรณีศึกษาที่จะกล่าวถึงความสำเร็จของการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคม หรือ CSV แล้วยังสามารถย้อนกลับมาเป็นด้านดีๆ สู่แบรนด์ได้ มาจาก โครงการ “เนสกาแฟ แพลน”  (NESCAFÉ Plan) ซึ่งเป็นโครงการระดับโลกของ เนสกาแฟเพื่อชุมชนที่เนสท์เล่ได้ริเริ่มขึ้นมาเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ และตอกย้ำให้คอกาแฟไทยได้มั่นใจในคุณภาพกาแฟที่ส่งตรงจากฟาร์มสู่แก้วโปรด

เป็นที่ทราบดีว่า เนสกาแฟ (NESCAFÉ) แบรนด์กาแฟที่ประสบความสำเร็จ โดยเนสท์เล่นั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น โครงการดังกล่าวจึงเกิดจากความใส่ใจในการผลิตเมล็ดพันธุ์กาแฟที่มีคุณภาพสูงไปจนถึงชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูก

ดังนั้น โครงการเนสกาแฟ แพลน จึงได้นำนักวิชาการเกษตร เข้าไปให้ความรู้และทำงานร่วมกับเกษตรกรผู้ปลูกอย่างใกล้ชิด พร้อมมอบกล้ากาแฟพันธุ์ดีให้เกษตรกรและชาวเขาเพื่อสร้างอาชีพอยางยั่งยืน รวมถึงมีจุดรับซื้อผลผลิตเมล็ดกาแฟโดยตรงจากเกษตรกรอีกด้วย เป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายในแบบระยะยาว

N_1 N_2

ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นการตอกย้ำเรื่องการใส่ใจในคุณภาพของเนสกาแฟ ซึ่งสั่งสมชื่อเสียงมายาวนานกว่า 40 ปี เพื่อให้มั่นใจว่า กาแฟ ที่เข้มข้นในทุกๆ ถ้วยของเนสกาแฟ เกิดจากความใส่ใจทั้งเรื่องของวัตถุดิบ และที่สำคัญ ยังเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยชุมชนเกษตรกร และชาวเขา ให้มีงาน มีรายได้ อย่างยั่งยืน เลี้ยงดูครอบครัวและชุมชนตนเองต่อไปได้ในระยะยาว และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อรักษามาตรฐานทั้งด้านปริมาณและคุณภาพของเมล็ดกาแฟให้สมกับที่เป็นแบรนด์ระดับโลกและได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมาอย่างยาวนานนั่นเอง และทั้งหมดนี้ ยังย้อนกลับมาเป็นผลประกอบการที่น่าพอใจอีกด้วย

N_3 N_4

องค์กรที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่

แม้ว่าเนสท์เล่จะเป็นบริษัทที่เก่าแก่ถึง 150 ปีในระดับโลกและ 125 ปีในประเทศไทย แต่ก็เป็นบริษัทที่ Young at Heart และพร้อมที่จะเปิดโอกาสต้อนรับคนรุ่นใหม่อยู่เสมอ เพราะเล็งเห็นว่าคนรุ่นใหม่คือกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนโลกของเราในอนาคต ที่น่าสนใจก็คือ เนสท์เล่ ประเทศไทย มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อายุน้อยกว่า 30 ปี จำนวนมากกว่า 352 คน หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของพนักงานทั้งหมด นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ หรือบรรดานักศึกษาต่างๆ เข้ามาฝึกงานภายในองค์กรอีกด้วย ทั้งในส่วนที่เป็นออฟฟิศและโรงงานทั้ง 7 แห่ง

nestle1 nestle2

เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น คุณร็อคเซน่า อลิซ คอร์ฮา ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล เนสท์เล่ อินโดไชน่า ให้คำยืนยันว่า นโยบายการทำงานของเนสท์เล่ เป็นการปรับให้เข้ากับโลกยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความยืดหยุ่นด้านเวลาการทำงาน การเสริมสร้างศักยภาพของพนักงานอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงโปรแกรมที่เปิดโอกาสให้หัวหน้างานและทีมงานได้สอบถามและติดตามงานกันได้อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญคือ สามารถตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มมิลเลนเนียลได้เป็นอย่างดี จึงไม่น่าแปลกใจที่อัตราการลาออกของที่นี่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดเลยทีเดียว

และนี่คือกรณีศึกษาของเนสท์เล่ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำเพื่อสังคมไม่ใช่แค่เทรนด์อีกต่อไป แต่เป็นหนทางสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย

Copyright © MarketingOops.com


  • 12K
  •  
  •  
  •  
  •