เมื่อครั้งวัยเยาว์…ทุกคนต้องเคยสัมผัสสีเทียนกันมาแล้วทั้งนั้น ทั้งใช้ระบายสี วาดรูป หรือขีดเขียนผนังบ้าน แต่เมื่ออุปกรณ์การขีดเขียนของเด็กยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนเป็นปากกาดิจิทัล ธุรกิจดินสอสีจะต้องปรับตัวอย่างไร
เราชวนคุณมาดูต้นแบบที่น่าสนใจจากแบรนด์สีเทียนชื่อดัง “Crayola” ที่พยายามปรับตัวเพื่อดำเนินธุรกิจดินสอสีต่อไป ท่ามกลางยุคที่สมาร์ทดีไวซ์และปากกาดิจิทัลกำลังเฟื่องฟู!
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Crayola เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1903 ในชื่อ Crayola Crayons จากแนวคิดของ Edwin Binney และ C. Harold Smith สู่บริษัท Binney & Smith โดยเริ่มต้นจากกล่องสีแบบทั่วไปที่มีสีเทียนบรรจุอยู่เพียง 8 แท่งซึ่งเป็นเฉดสีเขียวทั้งหมด กระทั่งปี 1958 จึงได้พัฒนาเป็นชุดสีเทียนจำนวนถึง 64 แท่งในกล่องเดียว จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้แบรนด์ Crayola ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และเปลี่ยนชื่อแบรนด์เหลือแค่คำว่า Crayola ในปี 2007 ซึ่งก่อนจะมาถึงช่วงดังกล่าว ทั้งสองก็มีธุรกิจประเภทอื่นเกี่ยวกับชาโคลและชอล์กไร้ฝุ่นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Crayola จะดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน พร้อมกับภาพลักษณ์เจ้าตลาดในธุรกิจดินสอสีเทียน ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 3,000 ล้านแท่งต่อปี ที่ผลิตสีเทียนออกสู่ตลาดไปแล้วกว่า 100,000 ล้านแท่ง!!! กับสีสันกว่า 120 เฉดสีที่นำเสนอชื่อเรียกแบบสะท้อนถึงศิลปและอารมณ์ แต่ในช่วง 10 ปีหลัง ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีเริ่มเปลี่ยนแปลงไปมาก สินค้าและบริการจึงต้องปรับตัวตามไปด้วย แบรนด์ Crayola ก็เช่นกัน
Crayola ไม่ได้มีแค่สีเทียน แต่ยังได้ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ ดินสอสีไม้ สีเมจิก สีน้ำ ซึ่งมีการเติมนวัตกรรมลงไปในสีมากมาย เช่น ล้างออกได้ ลบได้ง่าย มีกลิ่น เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น เช่น ดินน้ำมัน สมุดภาพระบายสีสำหรับผู้ใหญ่ ลิปสติกซึ่งทำร่วมกับแบรนด์ Clinique หรือแม้แต่แอปพลิเคชันแปลงภาพวาดของเด็กๆ ให้ดูสมจริงแบบเทคโนโลยี AR อีกด้วย
ถือเป็นแบรนด์ที่ยอมปรับตัว ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และเข้าสู่เทคโนโลยีโดยไม่หยุดนิ่งอยู่แค่ผลิตภัณฑ์เดิมหรือความเชี่ยวชาญแบบเดิมๆ ที่ตัวเองมี แม้จะเป็นถึงผู้นำระดับโลกของธุรกิจสีเทียนแล้วก็ตาม.