‘ทศวรรษแห่งดิจิทัล’ คงเป็นคำนิยามแห่งยุคนี้ไปแล้ว เห็นได้จากจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการเติบโตและการเกิดใหม่ของธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนองคืกรเป็นหลักอย่าง ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เดลิเวอรี และบริการด้านการเงินดิจิทัล ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกมากกว่า 4.95 พันล้านคน ขณะที่อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 62.5% ของประชากรโลกทั้งหมด หรือเติบโตขึ้นถึง 192 ล้านคนในปีที่ผ่านมา
เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ที่ก่อให้เกิดกระแส New Normal และกำลังก้าวสู่ New World Order ทำให้โลกธุกิจต้องเร่งปรับตัวโดยใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือหลักในการหาจุดสมดุลให้ธุรกิจเพื่อช่วยให้องค์กรเติบโตอยางมั่งคง
“Digital-First Company” คือองค์กรรูปแบบไหน?
กำลังซื้อที่ผันเปลี่ยนไปตามสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน Gen MZ (กลุ่ม Gen Millennials และ Gen Z) ที่กำลังก้าวขึ้นเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมและการบริโภคของโลกในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีแนวคิดการปรับเปลี่ยนองค์กรให้กลายเป็น “Digital-First Company” องค์กรที่สามารถสร้างความยืดหยุ่นควบคู่การเติบโตให้องค์กรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อีกทั้งยังเป็นการปูรากฐานสู่ความสำเร็จในการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันอย่างต่อเนื่องขององค์กรในทุกอุตสาหกรรม
การปรับเปลี่ยนองค์กรเป็น “Digital-First Company” ต้องเริ่มด้วยการคิดใหม่ในทุกแง่มุมของการทำธุรกิจ โดยมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน เชื่อมโยงและตอบโจทย์ความต้องการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ในระบบนิเวศของธุรกิจยุคใหม่ ที่ประกอบด้วย
-
-
- องค์กร (Company)
- ลูกค้า (Customer)
- พันธมิตรทางธุรกิจ (Partner)
- สังคม (Community)
-
ซึ่งในแต่ละส่วนของระบบนิเวศนี้ล้วนมีความซับซ้อนและมี Pain Point ที่แตกต่างกัน ข้อมูลจาก บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK ยังพบว่า “Digital-First Company เป็นหัวใจสำคัญทำธุรกิจยุคนี้ แต่การจะบรรลุผลสำเร็จในการทำ Digital-First Company ต้องอาศัยความความรู้ความเชี่ยวชาญหลายด้านประกอบกัน จึงทำให้เกิดกระแสนิยมการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานในองค์กร (Insource) และทีมงานภายนอก (Outsource) ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มมุมมองใหม่ในการทำธุรกิจแล้ว ยังเป็นการเสริมในงานส่วนที่องค์กรไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะได้อีกด้วย เห็นได้จากบริษัทเทคฯ ชั้นนำระดับโลกหลายองค์กรมากมายที่มีการใช้บริการบริษัทที่ปรึกษา เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีที่สุด รวมถึงลดข้อผิดพลาดและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ดังนั้นทุกองค์กรจึงต้องเร่งปรับตัวให้เป็น Digital-First Company เพื่อให้การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องเป็นไปได้อย่างราบรื่น ให้สามารถสร้างความยืดหยุ่นแก่ธุรกิจ ยกระดับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพและสามารถเข้าถึงและเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
5 ปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนสู่ “Digital-First Company”
- Super App ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้บริดภคยุคใหม่ต้องการแอปพลิเคชั่นที่รับจบในแอปฯเดียวทำให้หลายองค์กรเร่งเดินหน้าพัฒนา Super App แต่การพัฒนา Super App ต้องมี Core Feature และระบบที่ซับซ้อนขั้นสูง อีกทั้งต้องมีองค์ประกอบเกี่ยวกับ Microservice, Data Sharing และ Mini App ที่ดี รวมถึงเม็ดเงินลงทุนที่เพียงพอ ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ระดับ 100 ล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ ผู้พัฒนายังต้องมีความเชี่ยวชาญและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการรองรับการขยายตัว ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ความเชี่ยญชาญและประสบการณ์จึงเป็นหัวสำคัญในการพัฒนา Super App เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา อาทิ ระบบล่มที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ ถูกโจมตีทางไซเบอร์และการหารายได้จาก Super App เป็นต้น
- เทคโนโลยีขั้นกว่าของปัญญาประดิษฐ์ หรือ Augmented Intelligence เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง ที่ประสานการทำงานร่วมกันระหว่างเทคโนโลยี Artificial Intelligence – AI, Machine Learning – ML, Deep Learning, Big Data Analytics และ Human Intelligence และมนุษย์ด้วยการใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายเติมเต็มซึ่งกันและกัน เพื่อผลลัพธ์การทำงานที่ดีที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือมากกว่าทำงานแทนมนุษย์เหมือน AI ต้องมีความเข้าใจในด้านเทคโนโลยีและด้านธุรกิจอย่างลึกซึ้งเพราะมิเช่นนั้นจะส่งผลใหห้นำไปใช้อย่างผิดวิธีอาจส่งผลเสียต่อการดำเนินธุรกิจได้
- สร้างความน่าเชื่อถือและเกราะป้องกันภัยทางไซเบอร์ หรือ Digital Immunity and Trust การสร้างภูมิคุ้มกันภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรต้องเริ่มตั้งแต่ตัวพนักงาน กระบวนการ และเทคโนโลยีโดยการผสมผสานกลยุทธ์และวิศวกรรมซอฟต์แวร์หลายอย่าง เพื่อป้องกันความเสี่ยงและยกระดับความปลอดภัยให้ผู้ใช้งาน ซึ่งการสร้างมาตรฐานความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและทำให้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานเกิดความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์
- เทคโนโลยีเพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืน หรือ Sustainability Technology เป็นเทรนด์เทคโนโลยีที่ใช้ ตอบโจทย์กระแส ESG ที่กำลังอยู่ในความสนใจขององค์กรทั่วโลก โดยหลักการพื้นฐานแล้วเทคโนโลยีมีส่วนสนับสนุนและเกี่ยวข้องทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance ฉะนั้นองค์กรใดที่ต้องการประสบความสำเร็จในการทำ ESG จึงควรเริ่มต้นด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี
- Agile Operations แนวคิดการทำงานสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ใช้รับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในโลกธุรกิจ ที่ครอบคลุมตั้งแต่ความต้องการลูกค้า เทคโนโลยีใหม่ ๆ จนถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคม ทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัวกว่าเดิม อีกทั้งยังช่วยให้รักษาขีดความสามารถในการแข็งขันและบรรลุเป้าหมายการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างราบรื่น
จากเทรนด์ธุรกิจดังกล่าวนี้ ทำให้เห็นว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกและเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพราะการดำเนินงานที่ช้าและไม่สอดรับอัตราความเร็วของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล อาจทำให้องค์กรต้องพบกับอัตราต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจอย่างมหาศาลได้