Gartner ชี้อุตสาหกรรมรถ EV ปีนี้ยากลำบาก คาดแบรนด์จีนครองตลาดโลกเกิน 50% ใน 3 ปี

  • 209
  •  
  •  
  •  
  •  

การ์ทเนอร์ (Gartner) บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาดชั้นนำของโลกเปิดเผยผลการวิจัยอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEVs) พบว่าในปี 2023 นี้อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องเจอกับความยากลำบากที่ทำให้การเติบโตอยู่ในระดับต่ำหรือกระทั่งหยุดชะงักในบางตลาด อย่างไรก็ตามการ์ทเนอร์ คาดการณ์ด้วยว่าภายในปี 2025 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะกลายเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการส่วนหนึ่งสำหรับรถยนต์ใหม่บนท้องถนนถึง 95% และคาดการณ์ด้วยว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนจะก้าวขึ้นมาครองตลาดคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2026 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเจออุปสรรค

ปโดร ปาเชโก รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่าในปี 2023 นี้เป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบให้เดินหน้าได้ต่อ เพราะปัญหาต่างๆที่เป็นปัจจัยด้านลบต่อตลาด ไม่ว่าจะเป็น ราคาค่าไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นในยุโรปทำให้ต้นทุนการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) มีความน่าสนใจลดลง นอกจากนี้ยังมีกรณี หลายประเทศอย่างสหราชอาณาจักร สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรเลีย ที่กำลังเริ่มจัดเก็บภาษีรถยนต์ EV ด้านรัฐบาลจีนเองก็ยุติการอุดหนุนรถยนต์ไฟฟ้าแล้วนช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมา ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จทั่วโลกที่พบว่ายังไม่ครอบคลุมเพียงพอ และคุณภาพการให้บริการโดยเฉลี่ยก็ยังไม่ดีนัก

นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้วยังมีเรื่องของปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบทำให้ราคาวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นลิเธียมและนิกเกิลที่ทำให้ต้นทุนการผลิตรถ BEV สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนแบบ OEM ลดช่องว่างด้านราคากับรถยนต์เครื่องยนต์สัปดาปได้ยากขึ้น ผลที่ตามมาคือยอดขายรถ BEV อาจเติบโตในระดับที่ต่ำกว่ามากหรือหยุดชะงักในบางตลาด ทำให้การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับรถ BEV ใช้เวลานานขึ้นกว่าจะถึงจุดคุ้มทุน

ด้าน ไมค์ แรมซี่ รองประธานฝ่ายวิจัยอีกคนของการ์ทเนอร์ เปิดเผยว่าปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบใน supply chain ของอุตสาหกรรมยานยนต์จะยังดำเนินต่อไปตลอดในปีนี้ ขณะที่ปัญหาการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ ที่ส่งผลให้การผลิตรถยนต์ต้องสะดุดลงก็ยังไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ผู้ผลิตเหล่านี้ยังประสบปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบหลักสำหรับแบตเตอรี่ในรถ BEV ซึ่งทำให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลของการจำหน่ายยานพาหนะยังคงเดินหน้าต่อ เพียงแต่ช้าลง ขณะที่สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจกำลังท้าทายการขับเคลื่อนของตลาดรถยนต์ จากข้อจำกัดด้านอุปทานไปสู่ข้อจำกัดด้านอุปสงค์ โดยผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์จะมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนไปสู่การจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดต้นทุนในการจำหน่ายแรมซี่ ระบุ

ในช่วงขาลงนี้กลับเป็นโอกาสอันดีของผู้บริหารไอที (CIOs) ในแวดวงยานยนต์ที่จะช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดด้วยการใช้เทคโนโลยีได้ตัวอย่างเช่นผู้ผลิตรถยนต์หลายรายกำลังพยายามเปลี่ยนไปเป็นบริษัทเทคโนโลยีแต่วัฒนธรรมองค์กรเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการแนวทางการขับเคลื่อนนี้

คาดการณ์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ การ์ทเนอร์ ยังคาดการณ์ด้วยว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายทั่วโลกมากกว่า 50% จะเป็นแบรนด์จากประเทศจีน ภายในปี 2026 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า  โดยการ์ทเนอร์มองว่า มีบริษัทจีนมากกว่า 15 แห่งที่จำหน่ายรถ EV และหลายรุ่นมีขนาดเล็กกว่าและมีราคาถูกกว่าคู่แข่งต่างชาติอย่างมาก ขณะที่แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์อื่น ๆ อย่าง Tesla, VW และ GM กำลังจำหน่ายรถอีวีจำนวนมากในประเทศจีน และยังพบว่าเติบโตรวดเร็วกว่าบริษัทจากจีนอย่างมาก

สำหรับเหตุผลที่แบรนด์รถยนต์จากจีนจะเข้าครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ EV ทั่วโลกมากกว่าครึ่งได้นั้น การ์ทเนอร์ ระบุว่าเนื่องจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก บริษัทจีนหลายแห่งจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ดีที่สามารถใช้ประโยชน์จากการเติบโตตลาด ด้วยการเข้าถึงแร่สำคัญ ๆ และกำลังการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศจีนได้ การ์ทเนอร์แนะนำให้ผู้บริหารไอที (CIOs) ในอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า ผสานเข้ากับการวางแผน supply chain และซอฟต์แวร์การควบคุมการมองเห็น (Visibility Software) เพื่อช่วยตัดสินใจทางธุรกิจเกี่ยวกับแหล่งที่มาและมีการรับประกันที่ยืดหยุ่นของวัสดุหลักในการผลิตได้ดียิ่งขึ้น

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ประเมินว่าภายในปี 2025 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการส่วนหนึ่งสำหรับรถยนต์ใหม่บนท้องถนนถึง 95% โดยบรรดาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เริ่มเข้ามาแทนที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ยานยนต์ (ระดับ Tier 1) ในฐานะผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ในรถยนต์ (อาทิ Google Automotive Services และ CarPlay) และยังขยายเครือข่ายของตนเพื่อเคลมส่วนแบ่งการตลาดที่มากขึ้นในขอบเขตของระบบปฏิบัติการรถยนต์ (อาทิ ความร่วมมือระหว่าง Renault กับ Google หรือ ความร่วมมือของ VW กับ Microsoft) นอกจากนี้ ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหลายรายยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายรถยนต์ อาทิ Foxconn, Huawei, Alibaba, Xiaomi, Tencent และ Sony ที่ล้วนเป็นตัวอย่างของเทรนด์ที่เกิดขึ้นนี้

“เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ผลิต OEM หรือซัพพลายเออร์แบบดั้งเดิมจะประสบความสำเร็จแต่เพียงผู้เดียว อย่างน้อยแต่ละรายต้องร่วมมือกับยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัล หากพวกเขาต้องการรักษากำไรและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้” ปาเชโก กล่าวสรุป


  • 209
  •  
  •  
  •  
  •