SABUY โชว์ผลประกอบการ Q1/66 รายได้โต 203% เป็น 2,533 ล้านบาท กำไรโต 56% ตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 20,000 ล้าน

  • 293
  •  
  •  
  •  
  •  

บริษัท สบาย เทคโนโลยี (SABUY) แถลงเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 พบว่ามีรายได้รวมและผลกำไรมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก โดย SABUY มีรายได้รวมในไตรมาสที่ 1 รวม 2,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% จากไตรมาสแรกของปี 2565 ส่วนของกำไรสุทธิทำได้ 167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

คุณณรงค์ชัย ว่องธนะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานบัญชีและการเงินของสบาย เทคโนโลยี เปิดเผยว่า SABUY มีผลการดำเนินงานที่เติบโตสูงขึ้นโดยรายได้รวมของบริษัทฯ ไตรมาส1/2566 อยู่ที่ 2,533 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 167 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 56 % โดยกำไรสุทธิปกติ (Normalized Core Profit) อยู่ที่ 215 ล้านบาท

รายได้ซึ่งเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ มาจากกลุ่มธุรกิจ Connext ที่ยังเป็นพระเอก ที่ 58.2% กลุ่มธุรกิจ Enterprise 31.3% กลุ่ม Payment 6.4% กลุ่ม Financial Inclusion 3.6% และ กลุ่ม Innotainment 0.5% ซึ่งอาจจะยังเล็กมากแต่ก็ต้องรอดูในไตรมาสต่อไปในเรื่องของความร่วมมือกับ Asphere หลังจากได้เข้าลงทุนไป 24.9%

คุณณรงค์ชัย มองว่าในอนาคตยังมีความท้าทายรออยู่และมีสิ่งที่ต้องบริหารจัดการ 3 เรื่องก็คือ

  1. Revenue Uplift เพื่อให้บรรดา CEO ต้องผลักดันเรื่องของรายได้ในแต่ละกลุ่มงาน
  2. Cost Optimization คือการบริหารจัดการต้นทุนให้ดีโดยตั้งเป้า 40-50 ล้านบาทใน 2 ไตรมาส
  3. Business Restucturing ปรับโครงสร้างให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจ 7 SMART สะท้อนให้เห็นได้ว่าศักยภาพในการเติบโตของรายได้ของ SABUY ยังมีโอกาสขยายตัวได้สูง และ พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาค (Regional Player)

คุณณรงค์ชัยเปิดเผยว่าสำหรับปี 2566 SABUY ตั้งเป้าหมายการเติบโตโดยมีรายรายได้รวม 20,000 ล้านบาท หรือ ตั้งเป้าเติบโต 400% จากรายได้รวม 5,325.4 ล้านบาท ในปี 2565

ด้านคุณวิรัช มรกตกาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงานพาณิชย์ บริษัทสบายเทคโนโลยี กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจของ SABUY ว่าปัจจุบันมีธุรกิจอยู่ภายใต้ The Powers of SABUY Ecosystem 7 อย่าง

    1. Power of Synergies and Integration – ปัจจุบัน SABUY มีบริษัทมากกว่า 50 บริษัทมากกว่า 28 ธุรกิจ ที่จะมีความร่วมมือทางธุรกิจจากบริษัทและธุรกิจต่างๆด้วยการมีเซลล์ทีมเดียวกันเพื่อให้บริการทั้งธุรกิจ B2C, B2B และออนไลน์ มีความเชี่ยวชาญใน Product ทั้งหมดที่แยกเป็นหมวดหมู่อย่าง Machine, Solustion, Platform และ Financial Services ที่จะสร้างความเติบโตให้มากขึ้น
    2. Power of Partnership – เป็นความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ต่างๆในการให้บริการทั้งในหมวดหมู่ของ Telecommunication, IT&IoT, Logistic, Education, Media, Insurance, E-commerce, Technology, Payment, Transportation, Retail และ Bank ความร่วมมือทั้งหมดก็จะช่วยสร้างความเติบโตไปพร้อมกันได้
    3. Power of Coverage – แสดงให้เห็นของการเติบโตของบริการในด้านต่างๆที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นได้เช่น ตู้เติมเงิน, Vending machine, SABUY Speed ที่เพิ่มสาขาขึ้นได้ตามเป้า 20,000 สาขา รวมถึงร้านซักผ้า SABUY WASH, ตู้ฝากของ SABUY LOCK และบริการอื่นๆที่ครอบคลุมมีหน้าร้านและสาขามากขึ้นจำนวน Transaction ต่อเดือนมากถึง 60 ล้านครั้ง
    4. Power of Agility – เป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนและปรับตัวไปพร้อมๆกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้เสมอ พร้อมที่จะลองผิดลองถูกและปรับตัว ขณะที่การมี ecosystem ที่ใหญ่ก็เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้ธุรกิจเติบโตต่อได้
    5. Power of Capitalization – แม้จะไม่ได้มีการลงทุนมากเหมือนเมื่อก่อนแต่ก็จะมีการลงทุนอย่างเช่น SABUY Speed ที่จะไปสู่ ipo ภายใน 3 ปี ด้าน Plus Tech เองก็จะมีการปล่อยหุ้นคืนประชาชนเป็นอีกช่องทางในการลงทุน ด้าน Buzzebees เองก็จะเดินหน้าสู่แผน IPO เช่นกัน รวมไปถึง นครหลวง แคปปิตอล ก็มีแผนที่จะเข้าตลาดหุ้นเช่นกัน
    6. Power of Regional Expansion – เป็นการวางแผนที่จะขยายไปในระดับภูมิภาคเพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตต่อเนื่องได้ ซึ่ง SABUY เองก็มีเครื่อข่ายที่ขยายไปในต่างประเทศอยู่แล้ว และสามารถเติบโตต่อไปได้
    7. Power of Consolidation – เป็นพลังของการนำธุรกิจใหม่ๆเข้ามาเหมือนกับการสร้าง Building Block ต่อเนื่องกันไปตั้งแต่บริการ Payment, Enterprise, Connext ต่อเนื่องมาถึงในปี 2565 ที่มีบริการ Financial Inclusion มาช่วยและในปี 2566 จะเน้นไปที่ Innotainment ที่จะเป็นธุรกิจหลักในการสร้างรายได้ให้กับ SABUY

รายงานระบุว่าในปีนี้ SABUY คาดว่าจะลงทุนเพิ่มอีกจำนวน  2-3 ดีล โดยจะใช้เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาท สำหรับแหล่งเงินทุนจะมาจากการขายสินทรัพย์บางส่วนของ บริษัท SABUY SPEED ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SABUY ถือหุ้นในสัดส่วน 82% และขายที่ดินของ บริษัท สบาย คอนเน็กซ์ เทค จำกัด (มหาชน) หรือ SBNEXT (เดิมคือ บมจ.เธียรสุรัตน์ หรือ TSR) ซึ่งมีมูลค่า 1,000 ล้านบาท และแหล่งเงินทุนอื่นๆด้วย


  • 293
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE