ขณะที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ กลายเป็นหัวใจสำคัญที่สุดในยุค Digital Transformation คำว่า Blockchain, Cryptocurrency หรือ ICO เกิดคำถามมากมายว่าความจริงแล้วคืออะไร มีวิธีใดบ้างที่จะนำมาใช้กับภาคธุรกิจ และเทคโนโลยี Blockchain จะเขย่าหรือเปลี่ยนโลกได้มากแค่ไหน ข้อสงสัยเหล่านี้จึงเป็นที่มาของงานสัมมนาครั้งสำคัญแห่งปี ซึ่งจัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อไขความลับของ Blockchain
ธนาคารไทยพาณิชย์ ร่วมกับบริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด บริษัทผู้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินในเครือธนาคารฯ ได้จัดงานสัมมนา ‘Faster Future Forum 2018’ ติดต่อเป็นปีที่ 2 หรือ UNLOCK BLOCKCHAIN: The World DISRUPTIVE Technology โดยนำเสนอถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ Blockchain เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่จะมาเปลี่ยนโลกในทุกแง่มุม
ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวต้อนรับและไขที่มาของ Blockchainว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับโลกอย่างมาก งานนี้จึงเป็นเวทีที่จะทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับ Blockchain ซึ่งก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากทุกส่วนทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง เจ้าหน้าที่ภาครัฐ รวมทั้งกลุ่ม Tech Startup เนื่องจากเป็นเรื่องที่ได้รับผลกระทบวงกว้างในอนาคต แต่คนส่วนใหญ่มักจะพูดถึง Blockchain ในแง่ของ Bitcoin และ Cryptocurrency ที่เป็นเรื่องของการลงทุน ซึ่งที่จริงแล้วเทคโนโลยี Blockchain นั้นมีประโยชน์มากกว่านั้นมาก
“Blockchain เป็นได้ทั้งคณิตศาสตร์ชั้นสูง หรือสมรรถภาพของคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างความไว้วางใจในการทำธุรกรรม 2 ฝ่าย โดยไม่ต้องรู้จักกันและไม่ต้องมีบุคคลที่ 3 จากการเข้ามาของ Blockchain ที่เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพมาก ช่วยลดขั้นตอน ลดต้นทุนในการทำธุรกิจ กำกับตรวจสอบง่าย แต่ยังคงต้องมีองค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลเพื่อสร้างบรรทัดฐาน”
Blockchain Changes the World
คุณพลภัทร อัครปรีดี กรรมการผู้จัดการ หน่วยงานทุนองค์กร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า งานสัมมนาครั้งนี้ได้นำเสนอความรู้และแง่คิดเกี่ยวกับ Blockchain ซึ่งเทคโนโลยีนี้ไม่ได้ปฏิวัติเพียงแค่โลกการเงิน แต่มีศักยภาพมากพอที่ปฏิวัติโลกธุรกิจได้ทั้งหมด แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งเรื่องของ ICO, Smart Contract ศัพท์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา สร้างปรากฏการณ์การลงทุนกว่า 6,000 ล้านเหรียญ ที่เป็นเงินสนับสนุนให้กับสตาร์ทอัพทั่วโลก และคาดว่าไม่เกินปีนี้มูลค่าจะสูงถึง 170 ล้านล้านเหรียญ
Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ น้อยคนจะรู้ว่า Blockchain มีผลกระทบอะไรบ้างในชีวิตประจำวันนอกจากธุรกิจการเงิน จากการตั้งข้อสังเกต Blockchain ไม่มีคำจำกัดความ เหมือนกับความพยายามที่จะอธิบายภาพศิลปะภาพๆ หนึ่ง ที่ต่างคนต่างมองแล้วเกิดความเข้าใจในความหมายของแต่ละคน แต่ความหมายสั้นๆ คือ บัญชีของข้อมูลที่ถูกบรรจุอยู่ใน Chain เรียงต่อกันไปเป็นห่วงโซ่ กลายเป็นข้อมูลระดับ Internet 2.0 ซึ่งเป็นขั้นสูงมากกว่าในปัจจุบัน
สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างจากเดิม คือทุกคนจะมีส่วนร่วมเข้าถึงข้อมูลได้เท่าๆ กัน มีข้อมูลที่ปลอดภัยและไว้วางใจได้ สามารถป้องกันการแก้ไข และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างการใช้ Blockchain ในสร้างเป็น Digital Identity ซึ่งจะนำไปประยุกต์ใช้ในแวดวงธนาคาร โรงพยาบาล รัฐบาล ฯลฯ สามารถเคลื่อนย้ายข้อมูลด้วยอินเตอร์เน็ต ที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเหมือนใยแมงมุม จะต้องเคลื่อนย้ายด้วยฉันทามติ หรือทุกคนที่อยู่ใน chain นั้นจะต้องเห็นด้วยการกับแก้ไขข้อมูล และที่น่าสนใจคือ จุดแข็งของ Blockchain ที่ถูก Hack ได้ยาก เพราะต้องใช้การประมวลผลมหาศาล และต้อง Hack ให้หมดทั้ง network ของ Blockchain ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบาก
ตัวอย่างของการใช้ Blockchain ที่เข้าใจง่ายๆ เช่น Bitcoinที่ในปัจจุบันมีโหนด (node) มากถึง 1.9 หมื่นล้านทั่วโลกกระจายอยู่ทั่วไป ถ้าจะมีการ Hack อาจจะมีทางเป็นไปได้แค่ 5% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมด ซึ่งต้องใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ถึง 500 เครื่องเพื่อที่จะ Hack โหนดแต่ละตัว อย่างไรก็ตาม Blockchain จะลดการพึ่งพาตัวบุคคลซึ่งอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ โดยพัฒนาเป็น Smart contract ลดทอนตัวกลางที่ทำให้เกิดข้อพิพาท
Blockchain ยังช่วยเรื่อง Digital Identity ซึ่งจะเข้ามาพลิกวิธีการทำงานต่างๆ บนโลกใบนี้ จากที่ต้องแสดงตัวตนด้วยสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เปิดบัญชีธนาคาร เพื่อใช้เป็นข้อมูลของบริษัทหรือเอสเอ็มอีให้กับธนาคาร แต่เมื่อข้อมูลเหล่านั้น ถูกจัดเก็บไว้ใน Blockchain จะช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนได้มาก ช่วยแก้ปัญหาติดขัดระหว่างธนาคารที่ไม่สามารถโอนข้อมูลให้กันได้
หากพูดถึง Blockchain ในวงการแพทย์ ข้อมูลของผู้ป่วยที่เคยถูกเก็บไว้ในแฟ้ม กระจายไปตามแต่ละแผนก ถ้ามีระบบ Security หรือเน็ตเวิร์คที่ดี ความปลอดภัยเรื่องการเก็บประวัติการรักษาก็จะมีมาก แต่ถ้าระบบการรักษาความปลอดภัยไม่ดี ถ้าตกหล่นสูญหายจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการรักษาในกรณีเกิดความเร่งด่วน Blockchain ก็จะเข้ามาช่วยได้ และยังช่วยลดความเสี่ยงจากการทุจริต การโกงในระบบผลโหวต ทั้งยังจะมีบทบาทอย่างมากในเรื่องของการติดตามทรัพย์สิน การยืนยันสิทธิ์ในที่ดิน เช่น กรณีเกิดแผ่นดินไหว ที่ดินมีการเปลี่ยนรูปหรือกระดาษยืนยันสิทธิ์สูญหายไป ก็จะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับการเช่าสินทรัพย์ที่มีการบันทึกในกระดาษ ต่อไปจะมีการเก็บบันทึกด้วยระบบดิจิทัล เช่นเดียวกับเรื่องของพลังงาน จะช่วยบันทึกสถิติการใช้กระแสไฟฟ้า บันทึกรายได้จากการขายไฟฟ้า ทำให้ต้นทุนลดลง นำไปใช้ได้ในธุรกิจเพลง สามารถ Value Transfer เรื่องของสิทธิ์ระหว่างสตูดิโอกับผู้ผลิต การคิดค่าใช้จ่ายของศิลปินในระบบ Streaming จะทำได้ง่ายขึ้น
ในด้าน Supply Chain กับเรื่องของ Provenance เทคโนโลยี Blockchain จะช่วยในการเข้าถึงที่มาที่ไปของวัตถุดิบ แบรนด์ระดับโลกอย่างเนสเล่ ยูนิลีเวอร์ มีการสร้างเน็ตเวิร์คเคลื่อนย้าย Supply Chain จากผู้ผลิตไปสู่การจำหน่ายเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในสินค้า Blockchain จะสร้างระบบตรวจสอบความผิดปกติในระหว่างการผลิต หรือตรวจสอบย้อนหลังเมื่อเกิดปัญหาในระบบ Supply Chain ได้
Blockchain สามารถบันทึกข้อมูลอยู่ใน Digital Platform เพื่อไม่ให้เกิดการฉ้อโกง สินค้าหรือบริการที่มีมูลค่าสูงๆ ซึ่งมีการปลอมแปลงกันมาก Blockchain จะช่วยตรวจสอบความเป็นเจ้าของ เช่น ทอง เพชร หรือภาพวาดที่มีราคามากๆ รวมทั้งระบุยืนยันได้ว่า เป็นของจริงหรือของปลอม
“สุดท้ายแล้ว Blockchain จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันมากและอยู่เบื้องหลังของCryptocurrency รวมทั้ง ICO หรือInitial Coin Offering ซึ่ง Cryptocurrency ในปัจจุบันนี้มีมากกว่า 1,500 สกุล มีมูลค่ามากกว่า 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
Blockchain กับธุรกิจการเงิน หรือ FinTech
Brad Garlinghouse ประธานกรรมการบริหาร Ripple ผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศเทศแบบเรียลไทม์โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain เพิ่มความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ ทำให้ต้นทุนน้อยลงและมีสภาพคล่องดียิ่งขึ้น “ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้วตอนทำงานอยู่ที่ Silicon Valley ตอนนั้นยังไม่มีกูเกิล ผมยังไม่สามารถคาดการณ์เทคโนโลยีในวันนี้ออกได้ ว่าการทำงานจะเป็นอย่างไร เรื่องของ Blockchain ที่จะมาเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมไปอย่างไร ยังเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก” Brad กล่าว
ในส่วนการใช้งานสำหรับ Blockchain หลายธุรกิจอาจจะยังมองไม่ออกว่าช่วยแก้ปัญหาอะไรได้ Ripple จึงพยายามพัฒนาแพลตฟอร์มให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหา ให้แวดวงธนาคารเข้าใจถึงเทคโนโลยี และพัฒนาเครื่องมือขึ้นมาอย่างเห็นผล ในขณะนี้หลายคนหลงให้ความสำคัญกับ Blockchain ในแง่ของการระดมทุนหรือการได้เงินทุนมาง่ายๆ พูดถึง ICO ในภาพที่เกินจริง แต่สำหรับ Ripple ที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการโอนเงินระหว่างประเทศ ต้องมีความน่าเชื่อถือในระดับสูง ในโลกของเทคโนโลยีถ้าทำให้การเคลื่อนย้ายเงินเกิดขึ้นได้เร็ว เศรษฐกิจโลกก็สามารถขับเคลื่อนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดย Blockchain จะมีส่วนช่วยอย่างมาก
การผลักดัน Blockchain ให้เป็นเครื่องมือสำหรับวงการ Fintech จะช่วยให้การทำธุรกรรมการเงินทำได้โดยตรงระหว่างธนาคารกับธนาคารโดยไม่ต้องมีตัวกลาง และยังความปลอดภัยเพราะมีการลงรหัสร่วมกัน ซึ่งรวดเร็วและช่วยลดต้นทุน
ทุกคนไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบทั้งหมดของ Blockchain และก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำ Blockchain ไปใช้ในทุกธุรกิจ เพราะจริงๆ แล้วอาจจะมีเครื่องมืออื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น AI หรือ Data Science ขึ้นอยู่กับโจทย์ทางธุรกิจของแต่ละคน
ปลดล็อค Blockchain สู่โอกาสที่ไร้ขีดจำกัด
ช่วงสุดท้ายคือเสวนาพิเศษในเรื่องUnlock Blockchain to Endless Possibilities เพื่อเป็นการเพิ่มมุมมองให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีแขกพิเศษในแวดวง Blockchain จากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมแสดงทรรศนะถึงโอกาสใหม่ๆ ที่จะที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี Blockchain
Val Jihsuan Yap ผู้ก่อตั้ง PolicyPal สตาร์ทอัพด้าน InsurTech และได้รับการจัดอันดับจาก Forbes ให้เป็น 1 ใน 30 ผู้ประกอบการรุ่นใหม่อายุต่ำกว่า 30 ปี (Forbes 30 Under 30 Entrepreneurs Asia 2017) โดย Val ได้นำประสบการณ์ที่ไม่ดีของครอบครัว ที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตมาสร้างบริษัทประกันชีวิตของตัวเองด้วย Blockchain ร่วมกับธนาคารกลางของสิงคโปร์ ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากหน่วยงานที่กำกับดูแล
Val ได้ทำงานร่วมกับบริษัทประกันชีวิต และบริษัทรับประกันทรัพย์สิน จากเดิมที่ต้องใช้เอกสารในการดำเนินการ ซึ่งทำให้ต้นทุนสูง การนำเทคโนโลยี Blockchain เข้ามาใช้ส่งผลทำให้ผู้บริโภคจ่ายค่าเบี้ยประกันที่ถูกลงได้ เพราะทุกอย่างทำงานอย่างอัตโนมัติ
สำหรับประเทศไทยเมื่อภาครัฐจะมีการนำระบบ Digital Identity ผ่าน Blockchain มาประยุกต์ใช้ จะทำให้กลุ่มคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ สามารถเข้าถึงการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ เช่น สามารถเข้าถึงรายละเอียดของกรมธรรม์ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับ และเปลี่ยนจากการซื้อประกันผ่านนายหน้ามาเป็นการซื้อผ่านดิจิทัล ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองและยังสามารถเคลมได้ทันที
ดร.ภูมิ ภูมิรัตน ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มองว่า Blockchain จะทำให้วิธีการขายประกันสำหรับผู้ที่ยังไม่มีบัญชีธนาคาร ทำให้ผู้บริโภคได้รับสิทธิประโยชน์ที่รวดเร็วขึ้น แต่เราจะเริ่มต้นอย่างไรเพื่อนำ Blockchain ไปใช้ให้ถูกทางอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวสนับสนุนให้มีคนเข้ามาศึกษาเรื่องนี้ให้เกิดความเข้าใจ เพราะด้วยเทคโนโลยี Blockchain จะไม่เหมือนตัวอื่นเลย ณ ขณะนี้ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกำลังนำเสนอระบบ Digital Identity ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยและนำไปใช้ทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลได้จริง
David Davies ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร AgUnity ผู้พัฒนาระบบ Blockchain เพื่อการเกษตรในประเทศกำลังพัฒนา ให้ความเห็นในด้านที่ Blockchain จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตชาวนาที่ยากจนได้อย่างไร
David ได้ยกตัวอย่างแพลตฟอร์ม ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือชาวนาที่ยากจนทั้งในเคนยาและปาปัวนิวกินี ที่จำนวนเกษตรกรที่ยากจนนั้นมีเป็นพันๆ ล้านคน โดยได้นำ Blockchain มาใช้กับการโอนเงินสนับสนุนให้ไปสู่มือเกษตรกรได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านสหกรณ์
ในท้ายที่สุดของเวที Faster Future Forum 2018 ผู้เข้าฟังในงานสัมมนาน่าจะได้รับความรู้และเกิดความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับ Blockchain และมุ่งหวังว่าจะสามารถเห็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งเชื่อแน่ว่าจะกลายเป็นเครื่องมือ ที่จะนำไปสู่รูปแบบการปรับปรุงและสร้างเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ รองรับพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคในโอกาสต่อไป
รวมทั้งเป็นแรงผลักดันให้ภาคธุรกิจไทย องค์กรต่างๆ รวมทั้งภาครัฐ ตื่นตัวและทำการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไปด้วยเช่นกัน