เมื่อถึงคราวเลือกซื้อรถคันใหม่ มากกว่า 79% ของคนไทยให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันมากกว่าพลังของเครื่องยนต์
นี่เป็นเพียงหนึ่งในข้อสรุปที่ได้จากผลสำรวจความต้องการของผู้ขับขี่มากกว่า 9,500 คน จาก 11 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยจำนวน 1,026 คน ซึ่งฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี จัดทำขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2559
43% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของผู้บริโภคซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ทรงพลังกล่าวว่า อันที่จริงการประหยัดน้ำมันคือเหตุผลหลัก ที่พวกเขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อรถที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันมากกว่านี้
“เราได้จัดทำแบบสอบถามนี้ขึ้นเพื่อเรียนรู้ทัศนคติของผู้บริโภคเกี่ยวกับการประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันเมื่อเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่” เควิน ทาลลิโอ หัวหน้าวิศวกร ฝ่ายวิศวกรรมเครื่องยนต์ ฟอร์ด เอเชีย แปซิฟิก กล่าว “ประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันยังคงเป็นหนึ่งในความกังวลหลัก ผู้บริโภคยังคงกังวลกับค่าน้ำมัน ไม่ว่าราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไรก็ตาม”
นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ยังเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ โดยมากกว่า 49% จะเปลี่ยนลักษณะนิสัยการขับขี่เพื่อใช้น้ำมันน้อยลง และอีก 42% วางแผนที่จะขับรถให้น้อยลงในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยเกือบ 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถาม (65%) กล่าวว่า หากพวกเขาสามารถประหยัดน้ำมันได้ 20% ในแต่ละเดือน พวกเขาจะกันเงินไว้เป็นเงินออม ในขณะที่ 59% จะใช้เงินเหล่านั้นไปกับครอบครัว
ผลสำรวจเหล่านี้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความกังวลต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (46%) เชื่อว่าราคาน้ำมันจะยังคงผันผวนไปจนถึงปีหน้า
ถึงแม้ผู้ขับขี่ชาวไทยมีความกระตือรือร้นที่จะปกป้องตนเองจากค่าน้ำมัน แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีการวางแผนระยะยาวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคจำนวนมากที่วางแผนจะซื้อรถคันใหม่ในปีหน้า กำลังพิจารณาทางเลือกรถยนต์ที่สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเลือกซื้อรถนั้นเป็นเรื่องยาก เนื่องจากผู้บริโภคชาวไทยยังคงให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการขับขี่ โดยมากกว่า 68% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เป็นหนึ่งปัจจัยในการพิจารณาเมื่อเลือกซื้อรถใหม่ ในขณะที่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองถูกจูงใจจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์มากกว่า (69% เทียบกับ 60% ของผู้อาศัยนอกเขตเมือง)
ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความคาดหวังยิ่งกว่าผู้บริโภคในยุคก่อนๆ พวกเขาคาดหวังให้รถยนต์สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างยอดเยี่ยมและยังคงประสิทธิภาพในการขับขี่ตามที่ต้องการ ทั้งการเร่งเครื่องบนทางด่วนหรือการควบคุมรถในสภาพการจราจรที่ติดขัด พลังของเครื่องยนต์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้บริโภค
ด้วยความมุ่งมั่นในการผสมผสานประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันและพลังของเครื่องยนต์นี้เอง ที่ผลักดันให้ฟอร์ดพัฒนาเครื่องยนต์อีโค่บูสท์นับตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งอีโค่บูสท์คว้ารางวัลมากมาย โดยเฉพาะเครื่องยนต์อีโค่บูสท์ขนาด 1.0 ลิตร ที่ได้รับเลือกให้เป็น “เครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี” ในงานประกาศรางวัล International Engine of the Year Awards ในปี 2559 ซึ่งเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ในปัจจุบันเทคโนโลยีอีโค่บูสท์มีอยู่ในรถยนต์ฟอร์ดมากกว่า 20 รุ่นทั่วโลก รวมถึงฟอร์ด มัสแตง และฟอร์ด โฟกัสรุ่นปี 2016 ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย
“เครื่องยนต์อีโค่บูสท์มอบทั้งระยะทางและขุมพลังที่ผู้ขับขี่ต้องการ” คุณทาลลิโอ กล่าว “เมื่อขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีอีโค่บูสท์มาพร้อมขีดความสามารถในการประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อต้องการเร่งเครื่องเป็นพิเศษ อีโค่บูสท์ยังมอบประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่เหนือกว่าให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”