ปัจจุบันประเทศจีน ได้เริ่มกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติแล้ว หลังจากเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่กับการแพร่กระจายไวรัส Corona 2019 หรือ COVID-19 ที่ทำให้รัฐบาลจีนต้องประกาศมาตรการ Lockdown ประเทศ นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ในเวลาต่อมาวิกฤตนี้ได้ขยายเป็นวงกว้างทั่วโลก
Ipsos บริษัทวิจัยระดับโลก ได้เปิดรายงานผลสำรวจ และวิจัย “COVID-19 In China: The Road of Recovery” ซึ่งจะชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศจีน ทั้งวิถีชีวิต – พฤติกรรมคนจีน และภาคธุรกิจ นับตั้งแต่ในขณะที่เกิดสถานการณ์วิกฤต จนถึงปัจจุบันที่อยู่ในขั้น Post COVID-19
เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับประเทศไทย และหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังอยู่ในขั้นกำลังเกิดขึ้น (During) สำหรับใช้เป็นบทเรียนในการเตรียมความพร้อมภาคส่วนต่างๆ ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประชากรในไทย ไปจนถึงภาคเอกชน
98% ของภาคธุรกิจในจีนเริ่มกลับมาทำงาน แต่พฤติกรรม – วิถีชีวิตผู้คนไม่เหมือนเดิม!
ประเทศจีน เริ่มต้น lockdown ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 8 เมษายน กินระยะเวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง ซึ่งปัจจุบันยาวกว่าเมืองไทย แต่ถ้าเมืองไทย lockdown เดือนพฤษภาคมจะมีระยะเวลาใกล้เคียงกับจีน
เพราะฉะนั้นจีนตอนนี้มีการเปิดประเทศแล้ว เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง ?
ปัจจุบันบริษัทจีนส่วนใหญ่กลับมาทำงานแล้ว อยู่ที่ประมาณ 98% ของบริษัทจีนกลับมาทำงานแล้ว
-
98.6% บริษัทในประเทศ (Domestic Company) ของจีนกลับมาทำงาน
-
98% บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลับมาทำงาน
-
76% ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางของจีน กลับมาทำงาน
โดยเริ่มจากเมือง tier 1 และต่อด้วย tier 2
ถ้าเจาะลึกแต่ละอุตสาหกรรม การกลับมาทำงานแตกต่างกัน ดังนี้
-
80% ของธุรกิจโรงแรมในจีนกลับมาทำงานแล้ว
-
65% ของสถานที่ท่องเทียวกลับมาเปิดแล้ว
-
85% ของธุรกิจ Catering กลับมา
-
99% ของธุรกิจรีเทล กลับมาเปิดให้บริการแล้ว
-
96% ของช้อปปิ้งมอลล์ กลับมาเปิดให้บริการ
อย่างไรก็ตามพบว่า ถึงให้คนกลับมาทำงานแล้ว แต่ลักษณะของผู้บริโภคไม่เหมือนเดิม ดังจะเห็นได้จากสถานีรถไฟใต้ดินที่เซียงไฮ้ ปกติเป็นสถานีคนพลุกพล่าน แต่กลับพบว่าปัจจุบันมีคนเดินทางไม่ค่อยเยอะ หรือแม้แต่ทางเข้าโรงแรมต่างๆ ก็มีคนน้อย
ดังนั้น ถึงแม้จีนจะคลาย lockdown แล้ว แต่ผู้บริโภคยังไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอย หรือใช้ชีวิตในรูปแบบเดิม
6 Stage สถานการณ์ COVID-19 จากจีน ถึงไทย
สเต็ปของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีน คือ
-
Stage 1 คนจะไม่ค่อยเชื่อว่าเป็นจริงหรือเปล่า
-
Stage 2 พอรู้ว่าข่าวเริ่มจริง คนเริ่ม panic และเตรียมความพร้อมสต็อคของกินของใช้
ในประเทศจีนช่วงแรกข้อมูลข่าวสารยังคงสับสน กระทั่งในที่สุดแพทย์จีนคนหนึ่งได้ออกมาประกาศ ทำให้คนจีนเริ่มตระหนักต่อกาแพร่ระบาดของไวรัส และเริ่มสต็อคของกินของใช้
ต่อมาภาครัฐจีนได้ประกาศ lockdown ช่วงเวลานั้นพบว่า 98% ของคนจีน ตระหนักและเป็นกังวลต่อ COVID-19
-
Stage 3 เริ่มปรับตัว และทำความเข้าใจว่าชีวิตเราน่าจะเป็นแบบนี้
-
Stage 4 ใช้ชีวิตเป็น routine กับสภาวะ lockdown
-
Stage 5 คนต้องอดทน และรู้สึกชินชา แต่เมื่ออยู่บ้านนานเกินไป คนจะเริ่มรู้สึกอึดอัด
-
Stage 6 เริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ และเริ่มคาดหวังว่าอนาคตจะกลับมาเป็นปกติได้
นี่คือ stage ที่ทางจีนผ่านมา และปัจจุบันประเทศไทยกำลังเป็นเช่นนั้น โดยอยู่ Stage 5 ที่เริ่มรู้สึกชินชา และอึดอัดกับสภาวะการณ์ที่เป็นอยู่
COVID-19 ภาพสะท้อน “Digital Infrastructure” – “Digital Skill” ในจีนล้ำหน้า
ประเทศจีนมี Digital Infrastructure ที่พัฒนาไปไกล เช่น การรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงเวลา 10 – 20 ปีที่แล้ว เป็นการรับข่าวสารจากวิทยุ และทีวี แต่ปัจจุบันช่องทางการรับข่าวต่างๆ ของจีน ช่องทางหลักคือ WeChat เพราะสามมาถส่งข่าวได้เร็วกว่าทุกช่องทาง
ทำให้ภาพตรงนี้เปลี่ยนไปจากในอดีตที่เคยรับข่าวผ่านวิทยุ – ทีวี แต่ปัจจุบันรับข่าวผ่านทางโปรแกรมแชท โดยเฉพาะผ่าน WeChat
ในขณะที่กิจกรรมที่คนจีนทำในระหว่างถูกกักตัวที่บ้าน พบว่าส่วนใหญ่ยังคงเป็นกิจกรรมที่คุ้นเคย เช่น ดูหนัง ทำความสะอาดห้อง คุยเล่นกับเพื่อน
นอกจากนี้กิจกรรมที่เข้ามาเพิ่มมากขึ้นในช่วง lockdown คือ กิจกรรมบนออนไลน์ต่างๆ
-
ดูหนังออนไลน์
-
ดู Short Video และใช้ Video Streaming
-
ช้อปปิ้งออนไลน์
-
เกมออนไลน์
-
เรียนออนไลน์
-
ออกกำลังกายออนไลน์
ปัจจุบันคนมีการผสานกิจกรรมที่คุ้นเคยอยู่แล้ว เช่น ดูหนัง ออกกำลังกาย ฯลฯ ให้เข้ากับ “เทคโนโลยี” กลายเป็นกิจกรรมออนไลน์ในชีวิตประจำวันต่างๆ
ถึงจะมี Digital Infrastructure ดีอย่างไร แต่เมื่อ Lockdown นาน ทำให้คนรู้สึกขาดอิสระ และเครียด!
ผลสำรวจพบว่า 64% ของคนจีนบอกว่า ในช่วง Lockdown ที่ทำให้เขาออกไปไหนไม่ได้ ทำให้รู้สึก “ขาดอิสระ”
โดยในช่วงแรกของการ Lockdown คนรู้สึกพอใจ เนื่องจาก
-
ทำให้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
-
อยู่บ้านทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้นในการพัฒนาทักษะของตัวเองในด้านต่างๆ และมีงานอดิเรกใหม่ๆ เช่น ทำอาหาร
-
อยู่บ้านไม่ต้องแต่งตัว
แต่พอนานวันเข้า เมื่อออกไปไหนไม่ได้เป็นเวลานาน คนจีนเริ่มรู้สึกเครียด เนื่องจาก
-
เมื่ออยู่กับครอบครัวมากขึ้น ทำให้คนจีนรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้อยู่กับครอบครัวตลอดเวลา ในขณะที่เด็กๆ ก็รู้สึกเครียด ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกไม่ได้ ทำให้เกิดความเครียดในบ้านมากขึ้น ดังที่ปรากฏเป็นข่าวว่าอัตราการหย่าร้างในจีนเพิ่มขึ้นในช่วง Lockdown
-
แม้จะมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น แต่นานวันเริ่มรู้สึกเบื่อ และเกิดความเฉื่อยชา
-
จากที่สนุกกับกิจกรรมพัฒนาทักษะ และงานอดิเรกต่างๆ แต่นานวันเข้าเริ่มรู้สึกเบื่อ
-
จากที่มองว่าอยู่บ้านไม่ต้องแต่งตัว แต่นานวันเข้า อยากออกนอกบ้าน และอยากแต่งตัว
เพราะฉะนั้นจะเห็น Stage ของการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกของคนเมื่อถูก Lockdown
ไม่ใช่แค่ดูแลสุขภาพมากขึ้น แต่คนจีนยังมองหา “ความสุขสงบ” ในชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย
แน่นอนว่า COVID-19 ทำให้คนตระหนัก และกังวลการแพร่กระจายของไวรัส อันส่งผลให้คนหันมาให้ความสำคัญกับ “สุขภาพ” มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ทว่าในอีก Insights หนึ่งที่พบ คือ คนจีนนึกถึง “ความสงบสุข” ในชีวิต ครอบครัว สิ่งแวดล้อมมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าการแพร่ระบาดครั้งนี้ ทำให้คนจีนหันกลับมามองตัวเอง หลังจากในช่วง 20 – 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีน – สังคมจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเร่งรีบสูงมาก
โดย 64% ของคนจีน มองว่า COVID-19 สร้างผลกระทบกับ Social Value
ดังนั้นสถานการณ์ COVID-19 ทำให้คนจีนหันกลับมามอง “ความสงบสุข” ในชีวิตตนเอง ครอบครัว สิ่งแวดล้อม/ธรรมชาติมากขึ้น
คนจีนมองมุมบวกเศรษฐกิจประเทศตัวเอง แต่รู้สึกกดด้านการทำงาน – การเงินส่วนตัว
คนจีนมี Positive outlook กับเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง โดยมองว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตในอัตราเดียวกับปี 2019
แตกต่างจาก Outlook ของประชาชนในประเทศต่างๆ เช่น ยุโรป ไม่ได้มี Outlook ทางเศรษฐกิจดีแบบจีน
แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ COVID-19 มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจก็ตาม แต่คนจีนยังคงมีความมั่นใจในระบบเศรษฐกิจของประเทศตนเอง
อย่างไรก็ตามถ้าในมิติ “ส่วนบุคคล” คนจีนมองว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ได้สร้างความกังวลต่อความมั่นคงในหน้าที่การงานของตัวเขาเอง
-
47% ของคนจีนบอกว่ามีความกดดันในด้านการทำงานมากขึ้น และกลัวว่าจะถูกลดเงินเดือน
-
46% ของคนจีนมองว่ายากต่อการเติบโตในหน้าที่การงาน
-
32% มองว่าจะหางานยากขึ้น
-
29% มองว่าจะมีการให้ออกจากงาน
จากความกังวลต่างๆ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนจีนที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย นั่นคือ
-
42% ของคนจีน ยังคงใช้จ่ายปกติ เพราะต้องการ maintain ไลฟ์สไตล์ปัจจุบัน
-
41% ของคนจีนลดการใช้จ่าย และเก็บเงินมากขึ้น เพราะมองว่าอนาคตไม่แน่นอน
-
17% ใช้จ่ายมากขึ้น เพราะต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น และคุณภาพชีวิตดีขึ้น
สรุปภาพรวมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนจีน จากสถานการณ์ COVID-19
-
ทำกิจกรรมนอกบ้านน้อยลง
-
พฤติกรรมการบริโภคสื่อเปลี่ยนไป จากสื่อทีวี, หนังสือพิมพ์ มาติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านออนไลน์มากขึ้น
-
ใช้ชีวิตอยู่บนออนไลน์
-
เกิด Brand Switching คนจีนเปลี่ยนแบรนด์ในบางประเภทสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด คนจีนเปลี่ยนไปซื้อแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก เพราะมองว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่า กับอีกกลุ่มคือ เปลี่ยนไปซื้อแบรนด์ราคาถูกลง เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
ในขณะที่ “ทัศนคติ” ก็มีการเปลี่ยนไปเช่นกัน
-
ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากขึ้น
-
ให้ความสำคัญกับ Social Value มากขึ้น
-
ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
-
ตระหนัก/กังวลเกี่ยวกับ Impact ส่วนบุคคล
สำรวจผลกระทบทางธุรกิจจาก “COVID-19” ในจีน
จากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิต และพฤติกรรมผู้บริโภคจีน คราวนี้มาดูกันที่ “ภาคธุรกิจ” ในประเทศจีน ซึ่งมีทั้งกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ และกลุ่มธุรกิจที่สถานการณ์ COVID-19 สร้างโอกาส มีการปรับตัวอย่างไร ?
5 กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก
-
“ธุรกิจ Catering” สูญเสียเงินไปประมาณ 500,000 ล้านหยวน
-
“ธุรกิจท่องเที่ยว และการขนส่งเดินทาง” สูญเสียเงินไปประมาณ 500,000 ล้านหยวน และคาดการณ์ว่าทั้งปีจะสูญเสียไม่ต่ำกว่า 1.6 – 1.8 ล้านล้านหยวน
-
“ธุรกิจบันเทิง” เช่น โรงภาพยนตร์ คาดการณ์ว่าจะสูญเงินมูลค่า 7,400 ล้านหยวนในช่วงวันหยุด
-
“ธุรกิจกีฬา” ได้รับผลกระทบจากการต้องปิดให้บริการชั่วคราว
-
“ธุรกิจรถยนต์” ในไตรมาส 1 ของปีนี้ยอดขายลดลง 42.4% และคาดการณ์ว่ากำลังซื้อในส่วนนี้ จะฟื้นตัวช้า
ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ไม่ต่างจากประเทศไทย แต่สำหรับประเทศจีน ผลกระทบเชิงมูลค่าเม็ดเงินมากกว่า
จับตากลุ่มสินค้าที่เติบโตดีในช่วง COVID-19 และยังคงมี Demand หลังจากนี้
-
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน, หน้ากากอนามัย – ถุงมืออนามัย มีการซื้อเพิ่มสูงขึ้น
กลุ่มผลิตภัณฑ์เหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตในอนาคต เนื่องจากต่อไปด้าน Healthcare อาจย้ายไปอยู่บนออนไลน์มากขึ้น เช่น สั่งยาทางออนไลน์
-
กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการ และเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารที่สามารถเก็บไว้ด้านนาน ตอบโจทย์สถานการณ์ที่ต้องกักตัว, ผลิตภัณฑ์กาแฟ – ชาชงเอง และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ, ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการทำอาหารที่บ้าน, คอร์สเรียนทำอาหาร / ทำขนมปังที่บ้าน
-
กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และดูแลส่วนบุคคล ในภาพรวมไม่ได้เติบโตดี เนื่องจากคนใช้จ่ายน้อยลง – แต่งตัวน้อยลง แต่พบว่ามีผลิตภัณฑ์ Skin Care และ Personal Care บางประเภทสินค้าที่เติบโตดี สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19 เช่น ผลิตภัณฑ์ย้อมสีผม เนื่องจากร้านทำผมปิดชั่วคราว ทำให้คนต้องทำสีผมเอง
COVID-19 ตัวเร่งให้เกิด “Digital Economy” ในจีนเร็วขึ้น
ตัวอย่างของ 5 กลุ่มธุรกิจที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาผสาน
-
ฟิตเนสออนไลน์
-
การเรียนการสอนออนไลน์
-
ความบันเทิง และเกมออนไลน์
-
สร้างประสบการณ์ผ่าน Cloud Service เช่น ท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยี Virtual, ดูบ้านตัวอย่าง / ขายบ้านผ่านออนไลน์
-
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
กรณีศึกษาองค์กร – แบรนด์จีนปรับตัว
– องค์กรในจีนทำ “CSR” อย่างหนักในช่วงวิกฤต ทำให้คนรู้สึกดีแบรนด์องค์กร – แบรนด์นั้นๆ เช่น Tech Company ระดับพันล้านหยวน ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Huawei, Xiaomi ทำ CSR ในรูปแบบต่างๆ ด้วยเม็ดเงินระดับร้อยหล้านหยวน ไปจนถึงพันล้านหยวน เช่น ผลิตเครื่องมือ-อุปกรณ์ทางการแพทย์, บริจาค
– แบรนด์จีนปรับตัวด้านการทำตลาดได้ดี เช่น Shede แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของจีน ทำแคมเปญปาร์ตี้ออนไลน์ เพื่อแชร์โมเมนต์ในโลกออนไลน์ ทำให้คนรู้สึกว่าแบรนด์ยัง connect กับคน และอยู่ในชีวิตประจำวัน
– Hema จับมือกับบริษัทที่ทำ Catering ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ลูกจ้างที่ไม่มีงานทำ ได้มีงานทำ
– Galanz แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ทำ CSR กับพนักงาน คือ ในวันที่บริษัทกลับมาดำเนินธุรกิจอีก ได้ส่งเครื่องบินไปรับพนักงานจากหลากหลายจุดในจีน กลับมาทำงานให้
– ภาพยนตร์ Jiongma จากตอนแรกจะเอาเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แต่ผลจาก COVID-19 ที่ต้อง lockdown ทำให้ในที่สุดตัดสินใจนำภาพยนตร์เรื่องนี้ มาให้คนจีนชมฟรีผ่านออนไลน์ในช่วงระหว่างกักตัว
อย่างไรก็ตามในช่วง COVID-19 แบรนด์ควรระมัดระวังการทำตลาด และการขายที่ไม่เป็นการซ้ำเติมความเจ็บปวดของผู้บริโภคที่ต้องเผชิญทั้งความเครียด ความกังวลด้านสถานการณ์ และเศรษฐกิจ
เช่นกรณีหม้อไฟรายใหญ่ของโลกอย่าง “Haidilao” ประกาศปรับขึ้นราคา 6% ทั่วประเทศ ปรากฏว่าสร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริโภคจำนวนมาก จนในที่สุดต้องออกมาขอโทษต่อนโยบายขึ้นราคาดังกล่าว
ดังนั้นแบรนด์ ถ้าอยากเป็นที่จดจำ และได้ใจผู้บริโภค ควรเป็น “Good Brand” แต่ถ้าแบรนด์ที่ใช้จังหวะนี้เอาเปรียบผู้บริโภค จะเกิดกระแสรุนแรงตีกลับมา ส่งผลกระทบเสียหายต่อแบรนด์
– การขยายธุรกิจใหม่ เช่น Shiseido จากบิวตี้แบรนด์ ขยายมาทำผลิตภัณฑ์สุขอนามัย เช่น ผลิตภัณฑ์ล้างมือ เจลแอลกอฮอล์ ซึ่งกลุ่มสินค้านี้เติบโตดีมาก
จึงมีการมองกันว่าถึงปัจจุบันสถานการณ์ COVID-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลายแล้ว กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือการแตกแบรนด์ใหม่ดังกล่าว อาจเป็นธุรกิจในระยะยาวเลยก็ได้
– สร้างโอกาสให้เกิดบริการใหม่ เช่น กลุ่มสินค้า High-tech Beauty คือ อุปกรณ์เทคโนโลยีความงามใช้ภายในบ้าน พบว่าในจีน และเกาหลีเติบโตมาก เพราะสถานการณ์ทำให้คนออกจากบ้านไม่ได้ ทำให้คนใช้มาใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีความงาม เพื่อดูแล-บำรุงผิวขณะอยู่บ้าน พร้อมทั้งแบรนด์ในกลุ่มนี้ใช้ KOLs ในการรีวิวสินค้า จนกลายเป็น Item ความงามที่ต้องมีติดไว้ที่บ้าน ในขณะที่เทรนด์ความสวยความงามของไทยจะตามประเทศกลุ่มนี้ จึงน่าจับตากลุ่มสินค้านี้ในจีน
– บริการ Automatic เพิ่มขึ้น เช่น รถส่งของ Automatic จัดส่งสินค้าตามบ้าน
– บริการทางการแพทย์ ไปอยู่บนออนไลน์มากขึ้น
– “แบรนด์ลอรีอัล” เปิดตัว Marketing Campaign ใหม่ คือ ให้ทำสีผมที่บ้าน ผลปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างดี
– แบรนด์ความงามหลายแบรนด์ เปลี่ยนจาก Offline ไปเป็น Online อย่างรวดเร็ว
“Post COVID-19” จะไม่ฟื้นตัวเร็วเหมือนเมื่อครั้ง SARS – เกิด “New Consumer” มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนเกิดวิกฤต
จากการวิเคราะห์ของ Ipsos มองประเด็นในสถานการณ์ “Post COVID-19” ดังนี้
-
การกลับมาของเศรษฐกิจหลัง COVID-19 จะเป็นลักษณะ “Slow Recovery” คือ เศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อครั้ง SARS
-
ความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคจะพบว่า ถึงแม้ COVID-19 จะสิ้นสุดลงจะยังคงอยู่ แต่หลายพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจะยังคงอยู่ โดยไม่ได้เปลี่ยนกลับไปเหมือนเมื่อก่อนเกิดวิกฤต
ดังนั้น จะมีผู้บริโภคกลุ่มใหม่ หรือที่เรียกผู้บริโภคกลุ่มนี้ว่า “New Consumer” ซึ่งเป็นผู้บริโภคที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปชนิดที่ว่าแบรนด์ไม่เคยเจอมาก่อน
-
แบรนด์ที่มี React กับสถานการณ์ช่วง COVID-19 ในด้านดี เช่น ทำ CSR ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ หลังสิ้นสุดวิกฤตแล้ว ผู้บริโภคยังคงจดจำได้ และรู้สึกดีกับแบรนด์ ซึ่งจะสร้าง “โอกาส” ให้กับแบรนด์นั้นๆ ได้ต่อไปในอนาคต
-
แบรนด์จะมีการหยุดแคมเปญต่างๆ ไว้ชั่วคราวก่อน และระมัดระวังการส่งแมสเสจต่างๆ ไปยังผู้บริโภค
-
แบรนด์ต่างๆ จะให้ความสำคัญกับ Brand Value ของตัวเองมากขึ้น
-
เริ่มพิจารณา-ประเมินสิ่งที่ลูกค้าต้องการใหม่
-
นำสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาดูว่า ผลที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง และสร้าง Scenario เพื่อให้ธุรกิจ – แบรนด์สามารถเตรียมความพร้อมใน Scenario ต่างๆ ได้
-
ธุรกิจ – แบรนด์ต้องสร้างความใกล้ชิดกับผู้บริโภค และต้องรู้ความต้องการของผู้บริโภค
-
ธุรกิจ – แบรนด์ต้องมีนวัตกรรม และปรับตัวอย่างรวดเร็ว
-
ธุรกิจ – แบรนด์ต้องบาลานซ์กับสิ่งที่ผู้บริโภคยังคุ้นเคย กับสิ่งใหม่ เพราะบางอย่างใหม่มาก หรือ Innovative มากๆ ผู้บริโภคจะปฏิเสธการใช้สิ่งนั้น
จากการถอดบทเรียนสถานการณ์ COVID-19 ในจีนครั้งนี้พบว่า ประเทศจีนมีความพร้อมด้าน Infrastructure สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาเรียนรู้ได้ แต่ยังไม่สามารถประยุกต์ให้กับประเทศไทย หรือประเทศอื่นได้ 100% เพราะมีบริบทที่แตกต่างกันหลายด้าน เช่น สังคม พฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ Infrastructure ฯลฯ
แต่การถอดบทเรียน COVID-19 ประเทศจีนครั้งนี้ ถือเป็น Guideline ให้กับประเทศไทย และประเทศอื่นๆ หลังจากเปิดประเทศ หรือปลดล็อคแล้ว จะมีภาพไปในทิศทางไหนบ้าง เมื่อเทียบเคียงกับประเทศจีน