Hybrid Working อย่างไรให้เวิร์ก? รวม 10 แอปฯ ช่วยองค์กรยุคใหม่สอดส่องมนุษย์ออฟฟิศที่ทำงานจากที่ไหนก็ได้

  • 31
  •  
  •  
  •  
  •  

 

เมื่อการทำงานแบบ Hybrid Working เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบันโดยมีผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้หลายองค์กรปรับตัวโดยใช้นโยบายของการ “Work from Home” ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงไปแล้วแต่นโยบายดังกล่าวก็กลายเป็นนโยบายหลักขององค์กรหลายองค์กรในปัจจุบัน ที่มองว่าการทำงานแบบ Hybrid Working นั้นจะช่วยพนักงานในการเรื่องของลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ส่วนนึง ลดการเช่าอาคารสถานที่เพื่อทำออฟฟิศได้

 

เมื่อการทำงานแบบยืดหยุ่นเป็นวิถีการทำงานแบบใหม่ ซึ่งยืดหยุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแลกกับการเข้าออฟฟิศน้อยลง ทำให้องค์กรเริ่มที่จะพยายามติดตามสถานะการทำงานด้วยโปรแกรมต่างๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจเช็กพฤติกรรมพนักงานขณะที่ไม่ได้เข้าออฟฟิศและพัฒนาระบบสนับสนุนการทำงานต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้นยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดทำให้สิ่งที่เรียกว่าการตอกบัตรเข้าทำงานย้ายมาตอกบัตรผ่านโทรศัพท์ได้

 

Marketing Oops จะมาแนะนำ 10 แอปพลิเคชั่นที่องค์กรยุคใหม่ใช้ในการสังเกตและสอดส่องการทำงานของพนักงาน เข้างาน-ออกงาน โดยใช้แค่โทรศัพท์มือถือ

 

  1. Happy Work

Happy Work แอปพลิเคชันที่ช่วยบริหารจัดการพนักงานที่ช่วยตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพื้นที่สร้างสรรค์ในการครีเอทงาน บอกได้เลยว่างานนี้สบายใจทั้งเจ้านายและลูกน้อง เพราะวัดผลได้อย่างแม่นยำ ใช้งานง่ายได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน นำเทรนด์วิถีการทำงานแห่งอนาคต เอาใจ Office Worker

 

  1. Trello

Trello คือเครื่องมือที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับทีมของคุณในการจัดการโปรเจกต์ ช่วยให้ทีมจัดการโปรเจกต์และงานต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนการทำงาน หรือการติดตามงานได้ทุกประเภท เพิ่มไฟล์ รายการตรวจสอบ หรือแม้กระทั่งการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ ซึ่งสามารถกำหนดได้ด้วยตัวเองทั้งหมดเพื่อให้เข้ากับการทำงานของทีมได้มากที่สุด เพียงแค่ลงทะเบียน สร้างบอร์ด แล้วเริ่มต้นใช้งานเลย

 

  1. Makub Application

Makub จัดเป็นเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของประกอบการทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กและลูกจ้าง มาแทนทีระบบ HR เดิมๆ ลดความวุ่นวายและการจัดการ สะดวกในการลงเวลาเข้า – ออกงาน ดูรายการเข้า – ออกงาน และลดภาระงานเอกสารของฝ่ายบุคคล สามารถนำไปใช้กับงานที่ต้องการออกนอกสถานที่บ่อยๆ ได้ ทำเอกสาร online ได้ทุกที่ ลดการใช้เอกสารกระดาษ

 

  1. Onedee.ai

Onedee.ai แอปสำหรับ HR ที่จะช่วยให้การทำงานสะดวกมากขึ้น พนักงานสามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง iOS และ Android มีระบบลงเวลาด้วย iBeacon ตอกบัตรได้ทุกส่วนของอาคารและในระยะ 3 ม. มีระบบ GPS สำหรับการตอกบัตรนอกสถานที่ รวมถึงระบบ AI Chatbot ที่จะช่วยให้การตอบคำถามทั่ว ๆ ไปที่พนักงานถามเป็นเรื่องง่ายขึ้น สร้างกลุ่มแชทเฉพาะหรือส่วนตัวขึ้นมาเพื่อคุยงานโดยเฉพาะ ไม่ต้องปวดหัวกับการใช้ Line หรือช่องทางสื่อสารทั่วไป สร้างแบบฟอร์มต่าง ๆ ภายในองค์กรได้หลากหลาย โดยรวมแล้วเหมาะกับการนำไปใช้งานได้อย่างดีทีเดียวสำหรับ HR ยุคใหม่

 

  1. OPTIMISTIC APP

Optimistic APP เป็น โปรแกรม HR สำหรับ HR มืออาชีพ ใช้ง่าย สะดวก เหมาะทั้ง สำนักงาน โรงงาน รองรับทั้งระบบ คิดเงินแบบรายเดือน รายวัน รายกะ ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล (HR) สามารถจัดการพนักงานในบริษัทได้ดีขึ้น ทั้งดูแลเวลาเข้า-ออกงานของพนักงาน การจ่ายเงินเดือน ข้อมูลของพนักงาน, วันหยุด และคำขอ OT ได้

 

  1. TimeMint

TimeMint  แอปตอกบัตรมือถือ แอพเพื่อการบันทึกเวลาเข้าออกของพนักงาน และการจัดการเรื่องขาด ลา มาสายให้เป็นง่ายๆด้วยแอพบนมือถือ พนักงานสามารถบันทึกเข้า – ออกงานเพื่อบันเวลาผ่านมือถือของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบตอกบัตรทั่วไปได้ และได้รับการยืนยันตัวบุคคลผ่านทางการเข้าระบบด้วย

 

  1. We-La-Dee

Weladee (เวลาดี) ทางเลือกใหม่ของระบบบันทึกเวลาสำหรับองค์กรที่ทันสมัย คือระบบบันทึกเวลาการทำงานของพนักงาน และการจัดการทรัพยากรบุคคล โดยพนักงานสามารถบันทึกเวลาเข้าออกงานผ่านทางแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ หรือโดยใช้ RFID key tag บันทึกเวลาผ่านอุปกรณ์บันทึกเวลา (gate station)

 

  1. JOBCAN

JOBCAN ระบบเข้างาน และตอกบัตรออนไลน์ ผ่าน Cloud System ตรวจสอบข้อมูลการเข้างานและผลัดงานได้ทุกเวลาผ่านเว็บบราวเซอร์ อัพเดตเวอร์ชั่นอัตโนมัติได้ฟรี ใช้งานระบบบันทึกเวลาและจัดการผลัดอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น มีผูู้จัดการระบบได้หลายคนโดยไม่เสียค่าบริการเพิ่มเติม อีกทั้งยังตั้งสิทธิการเข้าถึงของผู้จัดการระบบรายบุคคลได้

 

  1. Zoom

Zoom ให้บริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์อย่างเต็มรูปแบบ และเป็นเครื่องมือเพื่อการสื่อสารสำหรับธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการที่มีชื่อว่า Zoom Meetings & Chat ซึ่งมีทั้งบริการวิดีโอและการโทรด้วยเสียง  Zoom ช่วยทำให้การประชุมผ่านวิดีโอและการโทรด้วยเสียงสะดวกและง่ายดายยิ่งขึ้น โดยในแบบให้บริการฟรี สามารถรองรับการทำงานของทีมขนาดเล็กได้ ขณะที่แบบเสียเงินรายเดือน จะต้องมีผู้ที่อยู่ในฐานะ “โฮสต์” ทำหน้าที่จ่ายค่าบริการรายเดือนที่ 14.99  ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 480 บาทต่อโฮสต์ ซึ่งโฮสต์จะมีหน้าที่ในการเชิญสมาชิกเข้าร่วมในการประชุม ซึ่งอาจมีจำนวนสูงสุดถึง 100 คน แต่หากการประชุมยืดเยื้อนานกว่า 40 นาที โฮสต์อาจต้องอัปเกรดเป็นเวอร์ชั่นแบบจ่ายเงิน

 

  1. Line

คนไทยใช้ Line เป็นหลักช่วง Work From Home จึงกลายเป็นแอปที่เราใช้กันประจำในชีวิตประจำวัน เพื่อคุยกับเพื่อน ครอบครัว คนรัก และได้กลายมาเป็นแอปที่ต้องใช้ทำงาน  เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกอณูของการดำเนินชีวิตของคนไทย  ทำให้ Line ได้เห็นพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมใช้งานคุยงานจนเกิดเป็นLINE WORKS แอปไลน์แยกสำหรับการทำงานโดยเฉพาะ ที่นอกจากจะใช้คุยงานแล้ว ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่เพิ่มความสะดวกในการสื่อสารและการทำงานอีกเพียบ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย ในแอป LINE WORKS สามารถสร้าง Task หรือ To do list ในการทำงานแต่ละวันได้ จะใส่เป็นวัน เป็นเดือนก็ได้แล้วแต่ความสะดวก ช่วยให้จัดการงานตัวเองได้ง่ายขึ้น รู้อยู่เสมอว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้างทำอะไรเสร็จไปแล้วบ้าง

 

จากตัวอย่างแอปพลิเคชั่นข้างต้น ออฟฟิศของทุกคนใช้แอปพลิเคชั่นไหนกันบ้าง

 


  • 31
  •  
  •  
  •  
  •