นอกจากเครื่องยนต์แล้ว เทคโนโลยีภายในรถก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ ยิ่งในอนาคตที่รถยนต์สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ไปอีกขั้น และนี่คือ 6 เทคโนโลยีที่จะถูกพัฒนาเพื่อใช้กับรถยนต์ในการ Transform สู่รถยนต์ที่ชาญฉลาดในอนาคต
Future Vehicle
ตลาดรถยนต์ในบ้านเราถือได้ว่าเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก นั่นเพราะส่วนหนึ่งไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ขณะที่ตลาดรถยนต์ภายในประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และตลาดรถยนต์ยังเป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง นั่นจึงทำให้รถยนต์มีความสำคัญกับประเทศไทย
ขณะที่ในตลาดโลก รถยนต์กำลังถูกพัฒนาไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้เป้าหมายในการรักษาสิ่งแวดล้อม และเพื่อให้ยานยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพในการขับขี่ เทียบเท่ากับรถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาปทั่วไป นอกจากนี้เทคโนโลยียังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ นั่นจึงทำให้เทคโนโลยีถูกใส่เข้ามาในยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นยานยนต์แห่งอนาคต
แต่จะเป็นยานยนต์แห่งอนาคตได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะต้องได้รับการพัฒนาอย่างก้าวล้ำ และนี่คือ 6 เทคโนโลยีที่คาดว่า จะช่วยเปลี่ยนยานยนต์ไฟฟ้าให้กลายเป็นยานยนต์แห่งอนาคตได้อย่างชัดเจน
1. เทคโนโลยีความปลอดภัยในการสตาร์ทรถยนต์
ดูเหมือนว่ารถยนต์รุ่นใหม่จะหันมาใช้ระบบ Keyless กันมากขึ้น เนื่องจากระบบดังกล่าวช่วยให้รถยนต์ดูล้ำจากการใช้ปุ่มเป็นตัวสตาร์ทเครื่องยนต์ แทนการใช้กุญแจบิดเพื่อสตาร์รถ โดยรถยนต์จะตรวจสอบว่ารีโมทดังกล่าวอยู่ใกล้กับรถยนต์หรือไม่ ก่อนจะปลดล็อคระบบทุกอย่างเพื่อให้เจ้าของรีโมทสามารถใช้งานรถยนต์ได้เต็มประสิทธิภาพทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน
แต่ดูเหมือนระบบ Keyless ที่นิยมใช้กันนี้จะเป็นสาเหตุหลักในการช่วยให้เกิดการโจรกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะการดักจับคลื่นความถี่ของสัญญาณรีโมทที่เชื่อมต่อกับรถยนต์
ด้วยเหตุนี้ค่ายรถยนต์เกาหลีอย่าง Hyundai จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่อเชื่อมต่อกับรถยนต์ในการปลดล็อคระบบต่างๆ ของรถยนต์ ซึ่งระบบดังกล่าวเป็นระบบเดียวกับที่ค่ายรถยนต์ Tesla ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยระบบดังกล่าวจะเป็น แอปพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟน พร้อมด้วยฟังก์ชัน NFC เมื่อรถยนต์เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้ว จะช่วยให้เจ้าของสมาร์ทโฟนสามารถใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของรถยนต์ได้เฉกเช่นเดียวกับระบบ Keyless แต่ปลอดภัยกว่า เนื่องจากการดักสัญญาณ NFC จะต้องผ่านระบบความปลอดภัยของสมาร์ทโฟนแบบ Biometric
2. ระบบตรวจสอบสมรรถนะของผู้ขับขี่
เป็นที่ทราบกันดีว่า อุบัติเหตุส่วนใหญ่ทั่วโลกเกิดมาจากสมรรถภาพในการขับขี่ของผู้ขับลดลงเป็นหลัก ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการพักผ่อนน้อย โรคประจําตัว หรือแม้แต่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนแต่ส่งผลให้สมรรถนะในการขับขี่ลดลง จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงขึ้นได้ แต่เทคโนโลยีของยานยนต์ในอนาคตจะสามารถตรวจสอบสมรรถนะของผู้ขับขี่ได้อย่างแม่นยำ โดยระบบจะตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีความพร้อมในการขับรถหรือไม่
ซึ่งค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Volvo และ GM มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในรถยนต์รุ่นปัจจุบัน สำหรับเทคโนโลยีนี้จะมีการติดตั้งกล้องภายในห้องโดยสารเพื่อตรวจสอบปฏิกิริยาของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะการมองเห็นผ่านการตรวจจับตาดำ หากตรวจพบว่าการมองเห็นของผู้ขับขี่ลดลงหรือมีอาการหลับตาเป็นเวลานาน ระบบจะทำการเตือน ซึ่งหากเตือนแล้วยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ระบบจะทำการหยุดรถยนต์โดยอัตโนมัติแล้วดับเครื่อง ก่อนจะประสานงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
3. เทคโนโลยี AR บนกระจกหน้ารถยนต์
มีการพูดกันอย่างมากถึงการใช้ระบบ AR ในการเข้ามาช่วยการขับขี่ ซึ่งจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการขับขี่เพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าเทคโนโลยี AR คือหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เกิดยานยนต์แห่งอนาคต เนื่องจากระบบ AR จะช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากกระจกหน้ารถไปดูอุปกรณ์อย่างอื่น เช่น อุปกรณ์นำทาง GPS โดยลูกศรเครื่องหมายนำทางจะปรากฏอยู่บนกระจกบานหน้าของรถยนต์ทันที พร้อมด้วยรายละเอียดในการเดินทาง เป็นต้น
4. ระบบรถยนต์ไร้คนขับที่อัจฉริยะมากขึ้น
เรื่องของระบบรถยนต์ไร้คนขับ (Driverless) เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากในช่วงนี้ แต่ก็มีการตรวจสอยพบความไม่สมบูรณ์ของระบบ นั่นทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อย่าง Magna International กำลังพัฒนาระบบที่ชื่อว่า “Icon Radar” ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์อัจฉริยะ สามารถจำแนกแยกแยะวัตถุ 2 สิ่งที่มีความเหมือนกัน แต่มีความรายละเอียดที่แตกต่างกัน เช่น คนกำลังเดินข้ามถนนกับคนที่กำลังยืนรอรถอยู่ริมถนน ระบบดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยและสมรรถนะในการขับขี่แบบไร้คนขับ
5. หน้าจอสัมผัสในรถยนต์มีขนาดใหญ่ขึ้น
เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ที่จะต้องมีหน้าจอแสดงผลและควบคุมการทำงานทั้งเครื่องปรับอากาศ วิทยุ ดูภาพยนตร์ รวมไปถึงการแสดงผลของระบบต่างๆ ในเครื่องยนต์ เช่น อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ เป็นต้น แต่จอเหล่านั้นมักจะมีขนาดไม่เกิน 7 นิ้ว หรือใหญ่กว่าหน้าจอสมาร์ทโฟนเพียงเล็กน้อย แม้จะรู้สึกว่าจอเหล่านั้นมีขนาดที่พอดีกับการมองเห็นแล้ว แต่การสัมผัสเพื่อสั่งงานบนหน้าจอขนาดเล็กก็ยังเป็นสิ่งที่ยาก
Tesla ได้ปฏิวัติเทคโนโลยีนี้ด้วยการใช้หน้าจอสัมผัสขนาด 14 นิ้วใกล้เคียงกับทีวีขนาดเล็ก ช่วยให้เห็นได้ชัดเจนกว่า สัมผัสได้ง่ายกว่า แต่หลายฝ่ายก็กลัวว่าการสัมผัสหน้าจอระหว่างขับรถจะก่อให้เกิดอันตราย นั่นจึงทำให้มีการเพิ่มระบบผู้ช่วยอย่าง Amazon Alexa, Google Assistant และ Apple Siri ช่วยให้การใช้งานหน้าจอ Infotainment สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
6. ระบบอื่นๆ ในการช่วยเหลือผู้ขับขี่
แม้ว่าระบบรถยนต์ไร้คนขับ จะช่วยให้การขับขี่ง่าย สะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น แต่ระบบรถยนต์ไร้คนขับก็ต้องทำงานร่วมกับระบบช่วยเหลืออื่นๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เช่น ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนเลน ระบบตรวจจับวัตถุที่เข้ามาใกล้ เป็นต้น ซึ่งค่ายรถยนต์หลายค่ายพยายามหาระบบช่วยเหลือการขับขี่ เพื่อเข้ามาเสริมสมรรถนะทั้งในด้านการขับขี่และความปลอดภัย โดยผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายกำลังจะทำให้ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์ทุกคันภายในเดือนกันยายน 2565
Source: USA Today