อย่าตกใจเมื่อขวดแก้วที่คิดว่าปลอดภัยอาจไม่ใช่ เมื่องานวิจัยพบ “ไมโครพลาสติก” ปนเปื้อนได้

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

หลายคนยอมรับว่า “ขวดแก้ว” ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำผลไม้ ขวดนม ขวดแยม หรือแม้แต่ขวดเครื่องปรุงรสต่างๆ มีความปลอดภัยจากสารแปลกปลอมค่อนข้าง 100% อย่างที่เราเชื่อกันมาตลอด จนกระทั่งได้พบกับงานวิจัยชิ้นล่าสุดที่กำลังจะมาแย้งกับความคิดของทุกคน เมื่อขวดแก้วในตู้เย็นที่บ้านจะถูกมองด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินมาตลอดว่า “พลาสติกคือสารเคมีทำลายสุขภาพ” ทำให้บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่เป็นพลาสติกทั้งขวดน้ำพลาสติก กล่องอาหารพลาสติก ถุงพลาสติก ตกเป็นผู้ต้องหา โดยเฉพาะที่ส่วนใหญ่เชื่อว่าบรรจุภัณฑ์พลาสติกจะปล่อยสารเคมีหรือพลาสติกขนาดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเข้าสู่ร่างกายเราได้

จากงานวิจัยของ University of Southern Denmark ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2025 ในวารสาร Journal of Hazardous Materials Letters กลับพบว่า

“ขวดแก้วบางชนิด มีไมโครพลาสติกปะปนอยู่มากกว่าขวดพลาสติกเสียอีก!”

โดยทีมนักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ขวดแก้วหลากหลายประเภท และพบว่าขวดแก้วหลายชนิดมีอนุภาคไมโครพลาสติกจำนวนมาก ซึ่งขนาดของอนุภาคเหล่านี้มีตั้งแต่เล็กจิ๋วไปจนถึงใหญ่พอที่จะมองเห็นได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ และสิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ บางขวดมีปริมาณไมโครพลาสติกสูงกว่าขวดพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate)

แล้วไมโครพลาสติกพวกนี้มาจากไหนกัน แถมมาอยู่ในขวดแก้วได้อย่างไร?

ลองจินตนาการถึงกระบวนการผลิตขวดแก้ว ซึ่งขวดแก้วถูกผลิตจากทรายในอุณหภูมิความร้อนสูง และต้องผ่านกระบวนการต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหลอม การขึ้นรูป การทำความเย็น การบรรจุ และการขนส่ง โดยในแต่ละขั้นตอนเหล่านี้มีโอกาสที่ชิ้นส่วนพลาสติกเล็กๆ จากเครื่องจักร วัสดุบรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่จากอากาศในโรงงาน จะปนเปื้อนเข้าไปในขวดได้

นอกจากนี้ งานวิจัยยังชี้ไปที่ “สารเคลือบ” ที่ใช้กับขวดแก้วบางชนิดเพื่อลดแรงเสียดทานและป้องกันรอยขีดข่วน ซึ่งสารเคลือบเหล่านี้อาจมีส่วนประกอบของโพลีเมอร์พลาสติก และหากมีการสัมผัสกับของเหลวภายใน สารเคลือบเหล่านี้ก็อาจหลุดลอกออกมาเป็นไมโครพลาสติกได้

แม้ว่างานวิจัยจะยืนยันว่ามีโอกาสที่จะมีการปนเปื้อน แต่ยังคงต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมต่อไปเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพของมนุษย์จากการเผลอบริโภคไมโครพลาสติกจากขวดแก้วเหล่านี้ ทั้ง

  • การสะสมในร่างกาย: อนุภาคไมโครพลาสติกเหล่านี้สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารของเราได้ และมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า ไมโครพลาสติกสามารถสะสมในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้ ตับ หรือแม้แต่ปอด
  • ความเสี่ยงทางเคมี: ไมโครพลาสติกสามารถดูดซับสารเคมีอันตรายต่างๆ ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ เช่น โลหะหนัก หรือสารมลพิษอินทรีย์ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายของเรา สารเคมีเหล่านี้ก็อาจถูกปล่อยออกมาและส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้
  • การรบกวนระบบภูมิคุ้มกัน: มีงานวิจัยที่เริ่มบ่งชี้ว่า ไมโครพลาสติกอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบ หรือรบกวนการทำงานของเซลล์ต่างๆ

แม้จะเป็นเรื่องที่น่ากลัว แต่อย่าเพิ่งตกใจจนเกินไป เราสามารถรับมือเบื้องต้นได้ ทั้งการล้างขวดแก้วก่อนใช้ ซึ่งช่วยลดปริมาณไมโครพลาสติกหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ได้และเลือกซื้อเครื่องดื่มหรืออาหารที่บรรจุในขวดแก้วจากแบรนด์ที่มีมาตรฐานการผลิตที่สูง และอาจลองใช้ภาชนะที่ทำจากสเตนเลสสตีลหรือเซรามิก ที่มีโอกาสปนเปื้อนไมโครพลาสติกน้อยกว่า

อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งเลิกใช้ขวดแก้วทั้งหมด เพราะขวดแก้วยังสามารถทำการรีไซเคิลและสามารถรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ดีกว่าพลาสติกบางชนิด

ในแง่มุมของการตลาด แบรนด์ที่ใช้ขวดแก้วอาจต้องสื่อสารกับผู้บริโภคในด้านการให้ความรู้กับผู้บริโภคเพื่อสร้างความเชื่อมั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรื่องของสุขภาพและเรื่องของสิ่งแวดล้อมมาบรรจบกัน

งานวิจัยชิ้นนี้ตอกย้ำให้เห็นว่า “ขวดแก้ว” ที่เราเคยเชื่อมั่นว่าเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัยที่สุด ยังมีโอกาสปนเปื้อนไมโครพลาสติกได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเลิกใช้ขวดแก้วโดยสิ้นเชิง แต่งานวิจัยนี้ช่วยให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อชีวิตและเพื่อโลกใบนี้

 

Source: France24


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา