
บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Webull Thailand บริษัทย่อยของ Webull Corporation (NASDAQ: BULL) ประกาศเปิดตัวบริการพิเศษระดับพรีเมียม “Webull Prime” เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ พร้อมเผยแผนการขยายธุรกิจและผลิตภัณฑ์การลงทุนในตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์การลงทุนให้ครอบคลุมทั้งตลาดมวลชนและกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth)
Webull Prime: สิทธิประโยชน์เฉพาะสำหรับนักลงทุนรายใหญ่
การเปิดตัว Webull Prime ในครั้งนี้จัดขึ้น ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) มูลค่ารวมกันมากกว่า 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10 ล้านบาทขึ้นไป ต่อหนึ่งบัญชี
ชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Webull Thailand กล่าวว่า “การเปิดตัว Webull Prime ในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับประสบการณ์การลงทุน และตอบสนองความต้องการของลูกค้ารายใหญ่ของเรา ผ่านสิทธิประโยชน์ และบริการต่างๆ ที่ทาง Webull พร้อมมอบให้ โดยเราเองหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวก ไปพร้อมกับการช่วยเสริมความมั่งคั่งทางการลงทุน ให้กับทั้งกลุ่มลูกค้าระดับสูง และกลุ่มลูกค้าทั่วไป ในอนาคตระยะยาวด้วยเช่นกัน”

สิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับสมาชิก Webull Prime
สิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิก Webull Prime ประกอบด้วย ค่าคอมมิชชันพิเศษ โดยลดค่าคอมมิชชันการเทรดหุ้นอเมริกาและ ETF ลง 50% จาก 0.1% เหลือเพียง 0.05% นอกจากนี้ยังได้รับ ข้อมูลตลาดฟรี ซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูล Market Quote แบบเรียลไทม์สำหรับหุ้นและสัญญาออปชัน, ราคา Real-time ของ Nasdaq TotalView, และข้อมูลเชิงลึกของกองทุนจากกูรู (Set Cracker)
ในด้าน บริการระดับวีไอพี สมาชิกจะได้เข้าร่วมงานสัมมนาสุดพิเศษ (Alpha Investment Club), มีสิทธิ์เข้าพบผู้บริหารและเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ, และรับข่าวสารและความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการลงทุน อีกทั้งยังมี บริการ Robo-advisor (เปิดให้บริการภายในสิ้นปีนี้) ซึ่งเป็นโมเดลการลงทุนแบบอัตโนมัติจากพันธมิตรระดับโลก ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติ และในอนาคตสมาชิกจะ เข้าถึงสินทรัพย์พิเศษ ได้แก่ Leveraged และ Inverse ETFs (ตามเกณฑ์ ก.ล.ต. สำหรับกลุ่ม Ultra High Net Worth)

การเติบโตและขยายตัวของ Webull ในประเทศไทย
Webull เป็นโบรกเกอร์สัญชาติอเมริกันจากนิวยอร์กที่ขยายธุรกิจไปยัง 13 ประเทศทั่วโลก รวมถึงอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก บราซิล อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ แอฟริกาใต้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย สำหรับประเทศไทย Webull ได้รับใบอนุญาตประเภท ก จากสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งสามารถให้บริการได้ครบถ้วน โดยมีไทม์ไลน์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังนี้:
ไทม์ไลน์ผลิตภัณฑ์ Webull ได้เปิดให้บริการหุ้นอเมริกาและ ETF เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว และเป็นรายแรกที่ให้บริการออปชันบนหุ้นรายตัวในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ล่าสุดเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ได้เปิดตัวออปชันที่สามารถ “ชอร์ต” ได้เป็นรายแรกในไทย และในสัปดาห์หน้าจะประกาศเปิดตัว “หุ้นไทย” อย่างเป็นทางการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการ “หุ้นฮ่องกง” และ “หุ้นจีน (H-share)” ภายในปลายปีนี้
ผลการดำเนินงานและเป้าหมาย ปัจจุบัน Webull มีผู้ใช้ลงทะเบียนประมาณ 1 ล้านบัญชี โดยมีบัญชีที่เปิดใช้งานและพร้อมเทรดประมาณ 300,000 บัญชี (30% ของผู้ลงทะเบียน) และมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีนี้จะมี AUM ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีลูกค้า Prime 200 คน และตั้งเป้า AUM ในปีหน้าประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ทั้งนี้กลุ่มผู้ใช้หลักอยู่ในช่วงอายุ 30-50 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการลงทุนและสะสมความมั่งคั่ง

กลยุทธ์สำหรับตลาดมวลชน (Mass Market)
นอกจากการมุ่งเน้นกลุ่ม High Net Worth แล้ว Webull ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดมวลชนผ่านแอปพลิเคชัน Webull ที่มีจุดเด่นหลายประการ เช่น เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำ เพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ, บริการ DCA ทยอยซื้อหุ้นแบบไม่คิดค่าคอมมิชชัน, และ โปรโมชันมากมาย เพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อย ตลาดมวลชนถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการผลักดันการเติบโตด้านจำนวนบัญชี ซึ่งจะช่วยสร้างฐานผู้ใช้ที่แข็งแกร่งในระยะยาว
แผนการพัฒนาในอนาคต
นายชลเดช กล่าวเพิ่มเติมว่า “เป้าหมายของ Webull ณ เวลานี้ คือการตั้งเป้าขยายตัวเลือกสินทรัพย์ไปยังทั่วโลก พร้อมๆ กับการยกระดับฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อให้แพลตฟอร์มการลงทุนของเราตอบโจทย์นักลงทุนไทยอยู่เสมอ เพื่อให้ทุกคนสามารถเทรดและลงทุนได้แบบครบ จบที่ Webull แบบเดียวกับนักลงทุนในเวทีโลก”
แผนการปีหน้า Webull มีแผนการพัฒนาที่สำคัญในปีหน้า ได้แก่ การพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยจะอัปเกรดสู่เวอร์ชัน 11 ที่ใช้งานง่ายขึ้น และเพิ่มฟีเจอร์ตามฟีดแบ็กจากลูกค้า ในด้าน ผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษี บริษัทพร้อมให้บริการบัญชีลงทุนแบบ Thai ISA/TSA/PRA หากเกณฑ์จากกระทรวงการคลังออกมา นอกจากนี้จะ ขยายหุ้นต่างประเทศ โดยเพิ่มหุ้นจากกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) และญี่ปุ่น ซึ่งเน้นประเทศที่นักลงทุนไทยนิยมลงทุน
สำหรับ กิจกรรม Company Visits Webull จะจัดทริปเยี่ยมชมบริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศ (สหรัฐฯ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น EU เม็กซิโก บราซิล) เพื่อให้ลูกค้าได้พบผู้บริหารโดยตรง และในส่วนของ ผลิตภัณฑ์หุ้นไทย จะมีทั้ง DR (Depositary Receipt) และ DW (Derivative Warrant) โดยร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศ โดยเสนอค่าคอมมิชชันเริ่มต้น 0.04% พร้อมโปรโมชั่นลด 30% ในช่วงแรก เหลือ 0.028% สุดท้ายคือ การร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันให้สถาบันการเงินและโบรกเกอร์อื่นๆ (Power by Webull) และร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เช่น Citibank ในระบบถอนเงินแบบ Real-time
จุดแข็งในการแข่งขัน
Webull มีความได้เปรียบในการแข่งขันหลายด้าน ประกอบด้วย ต้นทุนต่ำ เนื่องจากเป็น Fintech ที่พัฒนาระบบ Back Office และ Front End เองทั้งหมด และมีพนักงานประจำในไทยไม่ถึง 30 คน ทำให้ต้นทุนผันแปรต่ำ นอกจากนี้ยังมี ความสามารถในการแข่งขันด้านราคา โดยเสนอค่าคอมมิชชันที่แข่งขันได้ เช่น หุ้นไทยที่ 0.028% ในช่วงโปรโมชั่น และเริ่มมี ผลกำไร ตั้งแต่เดือนสิงหาคม (ไม่นับค่าใช้จ่ายด้านการตลาด)
ในด้าน ความน่าเชื่อถือ บริษัทจดทะเบียนใน Nasdaq ถูกกำกับดูแลโดย SEC สหรัฐฯ และ FINRA และเงินลูกค้าแยกจากบริษัทและฝากกับ Custodian ที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งยังมี การบริหารจัดการในท้องถิ่น โดยมี CEO และทีมงานเป็นคนท้องถิ่นที่เข้าใจตลาดไทย

มุมมองการลงทุนปีหน้า
ด้วยสถานการณ์ที่หุ้นอเมริกาทำ New High ไปมาก Webull แนะนำกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ 3 ด้าน ประการแรกคือ การบริหารความเสี่ยงด้วยออปชัน โดยใช้ Short Call (ขายที่ราคาสูงขึ้นเพื่อรับ Premium) และ Short Put (เตรียมเงินซื้อหุ้นเพิ่มเมื่อราคาย่อ) ประการที่สองคือ การลงทุนระยะยาวด้วย Robo-advisor ที่ให้พอร์ตสำเร็จรูปเพื่อกระจายความเสี่ยงใน ETFs โดยมีพันธมิตรกองทุนระดับโลกช่วยคำนวณและปรับพอร์ตอัตโนมัติ และประการสุดท้ายคือ หุ้นไทย ซึ่งมี Downside ค่อนข้างจำกัด โดยมีหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวมีอัตราเงินปันผลสูง จึงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว

