
เคยสงสัยไหมว่า มนุษย์จะสามารถสร้างเมืองที่ไร้ถนน ไร้รถยนต์ ขนาดยาว 170 กิโลเมตร สูง 500 เมตร สูงกว่าตึก Empire State แถมเมืองยาวๆนี้ยังตั้งอยู่บนทะเลทรายได้อย่างไร นี่คือวิสัยทัศน์ของเมกะโปรเจกต์ที่ชื่อว่า “The Line” ของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ที่นับว่าเป็นโปรเจกต์ที่ทะเยอทะยานมากที่สุดในประวัติศาสตร์การวางผังเมืองโลกก็ว่าได้ โดยโครงการนี้ออกแบบมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคตของซาอุดีอาระเบียที่จะเปลี่ยนผ่านจากผู้ส่งออกน้ำมันไปสู่ผู้นำด้านเทคโนโลยีต่อไป
แต่สำหรับอีกหลายๆคนโครงการนี้กำลังกลายเป็น “กรณีศึกษา” ที่แสดงให้เห็นว่า “ความทะเยอทะยาน” ที่ไม่มี “ความเป็นไปได้” รองรับก็อาจกลายเป็นหลุมดูดงบประมาณมูลค่ามหาศาลก็ได้เช่นกัน
บทความนี้เราจะพาไปดูว่า The Line มีที่มาอย่างไร จากข้อมูลของ The Financial TImes ที่เขียนบทความขนาดยาวเล่าถึงปัญหาของโครงการ The Line ที่ว่านี้แบบเจาะลึก ที่จะทำให้โครงการที่ทะเยอทะยานสุดๆนี้กลายเป็นแค่ฝันและเหตุผลก็เพียงแค่กฎง่ายๆของฟิสิกส์และการเงินเท่านั้นเอง
The Line กับวิสัยทัศน์สุดคลั่ง

The Line คือแกนกลางของโครงการ NEOM มูลค่ารวมกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ หรือราว 16.2 ล้านล้านบาท ซึ่งถูกจุดประกายโดยมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman หรือเรียกย่อๆว่า MBS โครงการนี้อยู่ภายใต้นโยบาย “Saudi Vision 2030” อีกที โดยวิชั่นนี้มีเพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศจากเศรษฐกิจน้ำมันไปสู่เทคโนโลยีและการลงทุน
สำหรับ The Line วิสัยทัศน์ที่ถูกเสนอมาครั้งแรกถือว่าน่าตื่นเต้นมากๆไม่ว่าจะเป็นขนาด เมืองนี้จะมีความยาว 170 กม. กว้าง 200 ม. และสูง 500 ม. สูงกว่าตึกมหานครไปอีกเกือบ 200 เมตร โครงการนี้ออกแบบให้รองรับผู้อยู่อาศัยได้ถึง 9 ล้านคน

สำหรับจุดศูนย์กลางของโครงการคือ “Hidden Marina” ที่จะมีการก่อสร้างสนามฟุตบอล 45,000 ที่นั่ง แขวนอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 350 เมตร และที่คลั่งๆ สุดคือ “โคมระย้า” (Chandelier) อาคารกระจก 30 ชั้นที่ถูกออกแบบให้ แขวนกลับหัว อยู่ใต้ซุ้มโค้งขนาดใหญ่
งบการก่อสร้างแม้การประเมินเริ่มต้นอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 51.8 ล้านล้านบาท แต่จากการประเมินครั้งล่าสุดพบว่าต้นทุนอาจพุ่งสูงถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 145.8 ล้านล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับมูลค่าผลผลิตทางเศรษฐกิจของประเทศเยอรมนีทั้งปีเลยทีเดียว
The Line สร้างไปถึงไหนแล้ว?
โครงการ The Line เริ่มต้นก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งในปัจจุบันก็ยังคงก่อสร้างอยู่ ล่าสุดมีการใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.62 ล้านล้านบาท ในโครงการขุดเจาะและวางโครงสร้างรากฐาน แต่รายงานข่าวบอกว่าโครงการกลับถูกปรับลดขนาดลงอย่างไม่น่าเชื่อ
เดิมโครงการ The Line ความยาว 170 กม. ถูกแบ่งออกเป็น “โมดูล” (Module) หลายสิบส่วน โดยแต่ละโมดูลเปรียบเสมือนชุมชนย่อยที่มีระบบนิเวศและสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนในตัวเอง ตามแผนเดิม The Line ตั้งเป้าจะสร้าง 20 โมดูล รวมความยาว 16 กิโลเมตร ภายในปี 2030 แต่ปัจจุบันถูกลดเหลือเพียง 3 โมดูลเท่านั้น ซึ่งแสดงถึงการลดขนาดความคืบหน้าโครงการไปถึง 85% ในระยะแรก

ผู้บริหารโครงการเองก็ออกมายอมรับว่า โครงการจำเป็นต้องมีประชากรหลักแสนคนอยู่ในพื้นที่ประมาณ 7 โมดูลในช่วงเฟสแรกๆของโครงการที่เปิดให้ใช้งาน เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาเข้าร่วม แต่เมื่อเหลือเพียง 3 โมดูล โครงการจึงมีสถานะ “ไม่สามารถลงทุนได้” ซะอย่างนั้น
ณ วันนี้ สิ่งที่มองเห็นได้คือเสาเข็มขนาดยักษ์จำนวนมากที่ถูกตอกลงในทะเลทราย และอุโมงค์รถไฟใต้ดินที่ถูกขุดไปแล้ว 150 กม. แต่ความเชื่อมโยงที่จำเป็นอย่างการเชื่อมกับสนามบินนานาชาติกลับถูกระงับไปอย่างไม่มีกำหนด
ทำไมโปรเจกต์ The Line กำลังจะ “ล่ม”
โครงการยักษ์อย่าง The Line เป็นโครงการแห่งความฝันที่ต้องขับเคลื่อนด้วยเงินทุนมหาศาล กำลังถูกมองว่าอาจเป็นโครงการที่อาจจะต้องล่มลงในอีกไม่ช้านี้ โดยเหตุผลสำคัญที่ถูกพูดถึงก็มีอยู่ 3 เรื่องหลักๆ ก็คือ ความเป็นไปได้ทางฟิสิกส์, การขนส่งและต้นทุนที่บานปลาย และ วัฒนธรรมองค์กร
1.ความเป็นไปได้ทางฟิสิกส์
หนึ่งในความเป็นไปได้ที่ก็แปลกที่ไม่มีใครคิดทักท้วงตั้งแต่แรกก็คือ แนวคิดอาคารกลับหัว 30 ชั้น แนวคิดการออกแบบที่ก็มีวิศวกรเตือนว่าการแขวนโครงสร้างหนักขนาดนั้นกลางอากาศจะทำให้เกิด “ปรากฏการณ์ลูกตุ้ม” ที่พร้อมจะแกว่งและ “แตกหัก” พังถล่มลงในมารีน่าได้ตลอดเวลา

อีกเรื่องที่จะเป็นปัญหาก็คือเรื่องพื้นฐานอย่างการระบายของเสียในอาคารแนวตั้งกลับหัว ต้องใช้รถรับส่งนับร้อยคันเพื่อวิ่งเก็บกวาดสิ่งปฏิกูล แทนที่จะปล่อยให้มันไหลลงตามแรงโน้มถ่วงแบบง่ายๆ กลายเป็นความซับซ้อนที่ไม่จำเป็นและทำให้ต้นทุนการดูแลเพิ่มขึ้นมหาศาล
นอกจากนี้ Hidden Marina ที่ขุดขึ้นมายังมีความกังวลว่าจะขาดกระแสน้ำธรรมชาติ ทำให้ต้องติดตั้งปั๊มขนาดมหึมาให้ทำงาน 24 ชั่วโมง 365 วันต่อปี เพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย ซึ่งก็จะเป็นภาระด้านพลังงานที่ไม่สมเหตุสมผลอีกเรื่องด้วยเช่นกัน
การขนส่งและต้นทุนที่บานปลาย
ผู้จัดการฝ่ายก่อสร้างมองข้อจำกัดด้านการขนส่งอย่างถนนที่จะใช้ขนส่งวัสดุก่อสร้างเข้าสู่ไซต์งานที่จำกัด เอาไว้ว่าหากต้องการให้โครงการสร้าง 12 โมดูลได้สำเร็จตามที่กำหนดไว้เดิม จะต้องมีตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตเดินทางมาถึงไซต์งาน “ทุกๆ แปดวินาที” ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเกินขีดความสามารถของท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่จริง นั่นหมายความว่าแผนการก่อสร้างเดิม “เป็นไปไม่ได้” โดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดอื่นๆอีกเช่นการสร้างโมดูลเพียงไม่กี่ส่วน ต้องใช้เหล็ก “สีเขียว” มากกว่า 60% ของกำลังการผลิตทั่วโลกต่อปี และปูนซีเมนต์มูลค่ามากกว่า Annual Economic Output ของประเทศฝรั่งเศสทั้งประเทศ นั่นหมายความว่านอกจากจะทำให้ต้นทุนพุ่งสูงแล้วโครงการนี้ยังทำลายห่วงโซ่อุปทานโลกด้วยหากต้องการทำให้สำเร็จตามแผนเดิม
วัฒนธรรมองค์กรที่กลัวความจริง
อีกเรื่องที่ The Financial Times สะท้อนออกมาก็คือเสียงจากอดีตพนักงานในโครงการนี้เปรียบเทียบวัฒนธรรมการทำงานว่าคล้ายกับนิทานเรื่อง “The Emperor’s New Clothes”
พนักงานคนที่ว่านี้เล่าว่าในห้องประชุมเพื่อเดินหน้าโครงการ The Line ที่ MBS เข้ามาควบคุมใกล้ชิด บรรยากาศจะเต็มไปด้วย “ความหวาดกลัว” ทำให้ผู้บริหารโครงการไม่กล้าเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับไทม์ไลน์และต้นทุนที่ไม่สมเหตุสมผล ส่งผลให้ไม่มีการถกเถียงอย่างตรงไปตรงมา และในที่สุดโครงการก็เดินหน้าไปทั้งๆที่มองไม่เห็นความเป็นไปได้
อนาคตและทิศทางการลงทุนใหม่
ในที่สุด The Line อาจกลายเป็นห้องทดลอง “ไอเดีย” ที่ราคาแพงที่สุดในโลก ซึ่งท้ายที่สุดอาจจะมีแค่โครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ไม่มีเงินทุนมากพอที่จะสร้างเป็นเมืองเต็มรูปแบบได้ตามที่คิดไว้แต่แรก
ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบียและกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (PIF) ได้เริ่มหันไปเน้นโครงการอื่นๆที่ทำกำไรและเป็นรูปธรรมได้เร็วกว่าแทน เพื่อรักษาภาพลักษณ์และแสดงให้เห็นความคืบหน้าของการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโครงการ “Trojena” สกีรีสอร์ตกลางทะเลทราย โครงการ “Sindalah” รีสอร์ตหรูบนเกาะ

นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียกำลังเปลี่ยนจุดสนใจไปที่ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างจริงจัง โดยมีแผนทุ่มเงินทุนสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3.24 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างโครงการ AI ขนาดใหญ่ที่สามารถแข่งขันกับศูนย์กลางเทคโนโลยีของโลกได้อย่างสหรัฐฯ และจีนได้ด้วยเช่นกัน
โครงการ The Line แม้ว่าอาจจะไม่สามารถจบโปรเจกต์ได้อย่างที่ฝันไว้ แต่อย่างน้อยๆเรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนกับเราได้บ้างว่าความทะเยอทะยานบางครั้งก็ต้องมาพร้อมกับแผนปฏิบัติการที่ตั้งอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง และการทำ Feasibility Study นั่นก็ยังสำคัญอยู่เสมอนั่นเอง
ที่มา Financial Times, CNN, Alarabiya
