ที่ผ่านมามีหลายล้านคนที่ตื่นตระหนักอย่างมากกับการเข้ามาของ ‘เทคโนโลยี’ ซึ่งผู้คนบางส่วนมองว่าเป็นการรุกล้ำเข้ามาในชีวิตประจำวันจนเกินเหตุ ซึ่งเราเรียกว่าเป็นการ disruptive technology อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในยุคนี้ แถมยังมีกระแสหนาหูมาตลอดว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแย่งงานหรือแทนที่มนุษย์ต่างๆ นานา
แม้แต่กระแสภาพยนตร์แนวๆ หุ่นยนต์เปิดสงครามกับมนุษย์ หรือไล่ล่าล้างฆ่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในพักหลังๆ ก็มีให้เห็นบ่อยขึ้นจนน่าตกใจ จนอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าที่จริงแล้วการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย กำเนิดเหล่าหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขึ้นมาเพื่อสร้างประโยชน์หรือทำลายมนุษย์กันแน่?
โดยที่ผ่านมามีผลการศึกษา และการประเมินมากมายที่ชี้ว่า ระบบอัตโนมัติ อย่าง AI หรือ หุ่นยนต์อาจเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของมนุษย์จนทำให้ตกงานไปหลายแขนง
-
‘มนุษย์’ นับวันยิ่งเสี่ยงเข้าสู่ยุคถูกแย่งงานจาก ‘หุ่นยนต์’?
ผลการศึกษาของสถาบัน McKinsey Global เคยระบุไว้ว่า ในปี 2030 มีความเสี่ยงที่มนุษย์อาจตกงานมากถึง 70 ล้านคน ไม่เพียงเท่านั้นงานวิจัยของ Oxford Economics เปิดเผยข้อมูลสอดคล้องกันว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าหุ่นยนต์มากกว่า 20 ล้านตัว หรือสูงถึง 30 ล้านตัวจะเข้ามาทำงานในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก
ข้อมูลชี้ว่าเฉพาะแค่ใน ‘ประเทศจีน’ คาดว่าจะใช้หุ่นยนต์ทำงานในอุตสาหกรรมมากที่สุดถึง 14 ล้านตัวในปี 2030 เป็นผลต่อเนื่องทำให้มีคนว่างงานมากถึง 11 ล้านคน ขณะเดียวกันประเทศพัฒนาแล้วอย่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ ได้มีคาดการณ์เช่นกันว่า ชาวอเมริกันจะตกงานมากกว่า 1.5 ล้านคน ไม่เว้นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 27 ประเทศ (ไม่รวมสหราชอาณาจักร) ก็ถูกคาดการณ์ด้วยว่าจะมีคนตกงานเกือบ 2 ล้านตำแหน่ง และถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
-
‘อีลอน มัสก์’ ชี้ว่า ‘artificial Superintelligence’ ต้องเป็นมิตรต่อมนุษย์ไม่ใช่ทำลาย
บนเวทีงานสัมมนา SXSW 2018 ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส เจ้าพ่อนักประดิษฐ์ และเจ้าของฉายา ‘Iron man’ หรือ ‘อีลอน มัสก์’ ซีอีโอบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ Tesla และ SpaceX ได้พูดเปิดใจว่า “บางทีก็รู้สึกกลัว AI หรือระบบอัตโนมัติอื่นๆ เพราะมันมีความล้ำสมัยมาก มากกว่าที่มนุษย์คาดคิดและจินตนาการออก ที่สำคัญพวกมันปรับปรุงระบบอยู่ตลอดเสมอ คล้ายๆ การอัพเกรดให้ตัวเอง”
“ดังนั้น การให้กำเนิด ‘artificial Superintelligence’ หรือ สุดยอดปัญญาประดิษฐ์ จะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ หากว่าเราสร้างมันให้ฉลาดเกินมนุษย์แต่ไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งประดิษฐ์อัจฉริยะนี้ต้องเป็นมิตรต่อมนุษย์มีสัมพันธ์ที่ดี ไม่อย่างนั้นฉากในภาพยนตร์ที่เราเห็นเกี่ยวกับสงครามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยหุ่นยนต์จะเกิดขึ้นในอนาคตแน่ๆ”
แต่ อีลอน มัสก์ ย้ำทิ้งท้ายว่า ยังมีความเชื่อเสมอว่า ไม่ว่าจะเป็น artificial Superintelligence หรือ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอื่นๆ จะยังคงสร้างประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษย์มากกว่าเข้ามาเพื่อทำลายล้างอยู่ดี เพียงแต่เราต้องเข้าใจและปรับตัวตามให้ทัน และต้องไม่ลืม up-skills ตัวเอง
-
‘สี จิ้นผิง’ ยังชี้ว่าหุ่นยนต์ช่วยเพิ่มผลผลิต-ลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจ
‘จีน’ ถือว่าเป็นประเทศที่ move ตัวได้เร็ว ปรับรับกระแสต่างๆ ได้เร็ว ขับเคลื่อนตัวเองจนขยับขึ้นเป็นคู่แข่งของสหรัฐฯ อย่างสมน้ำสมเนื้อ เพื่อแย่งชิงความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก โดยหนึ่งในคำกล่าวของ ‘ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง’ ผู้นำแห่งจีน ที่ย้ำมาตลอดตั้งแต่ปี 2015 ได้กล่าวถึงเรื่อง “หุ่นยนต์ปฏิวัติแรงงาน” (Man for Machine) ว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่พลิกโลก เพราะประโยชน์ของมันสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านค่าจ้างแรงงานได้มากด้วย
สำหรับ AI ปธน.สี มองว่า แม้ผู้คนต่างก็หวาดกลัวความฉลาดของมัน แต่ยังไงก็ตามเราจะได้ประโยชน์มากกว่าอยู่ดี เมื่อปี 2018 ปธน.สี จิ้นผิง เคยพูดถึง master plan : made in China 2025 ว่าจะมุ่งสู่การลงทุนใน AI ขนาดใหญ่ ซึ่งจีนจะกลายเป็นผู้นำโลกในด้านอุตสาหกรรมที่ดำเนินไปด้วย AI ทั้งย้ำว่า “จุดประสงค์ของ AI ต้องการสร้างมาเพื่อช่วยคน แบ่งเบาภาระคน เพิ่มความแม่นยำ เป็นผู้ช่วยในการตัดสินใจ ทำเรื่องยากๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ ดังนั้นทำไมมนุษย์ต้องกลัว?”
ขณะที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมช่วยสร้างผลิตภัณฑ์อัจฉริยะให้มนุษย์อยู่มาก อย่างเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาเราอาจจะไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีเด่นๆ อะไรอยู่บ้างที่ปะปนอยู่ในชีวิตของเรา อย่างเช่น
- ช้อนอัจฉริยะ ‘Liftware Steady’ ของบริษัท Lift Labs ลองคิดดูว่ามันจะน่าอัศจรรย์มากแค่ไหน หากผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ที่ไม่สามารถควบคุมการสั่นเกร็งของตัวเองได้ วันหนึ่งพวกเขาจะช่วยเหลือตัวเองได้ และทานอาหารเองได้ตามปกติ เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยรักษาระดับความสมดุลของช้อนให้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของมือและแขนในทุกรูปแบบ
- ปลอกสวมเท้า ‘SPOtwo Bootie’ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยวิเคราะห์สัญญาณชีพของเด็กทารกที่กำลังป่วยง่ายๆ อีกทั้งยังมีราคาไม่แพงเพียง 8 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 245 บาทเท่านั้น) โดยปลอกสวมเท้าชิ้นนี้มีความสามารถเหมือนพยาบาล เพราะช่วยระบุภาวะออกซิเจนต่ำ, หัวใจพิการแต่กำเนิด และ อาการติดเชื้อในช่วงสัปดาห์แรกของทารกได้
- ‘Owlet Smart Sock’ ถุงเท้าอัจฉริยะ สามารถวัดชีพจรเด็กทารก, ตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจ และระดับออกซิเจนของเด็กทารกในขณะที่นอนหลับได้ โดยผลที่ประมวลออกมาจะส่งตรงไปหาแพทย์ทางแอปพลิเคชั่นแบบ real time ทันทีที่เสร็จสิ้นกระบวนการ
- นวัตกรรมใหม่ ‘ยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย’ เรียกว่าเป็นความเทียมกันที่แท้ทรู เพราะไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่สามารถ protect การตั้งครรภ์ได้ แต่ผู้ชายก็ทำได้เช่นเดียวกัน โดยกระบวนการทำงานจะเป็นการช่วยลดระดับฮอร์โมนเพศชายที่จำเป็นต่อการผลิตอสุจิ
- ‘คอนแทคเลนส์อัจฉริยะ’ โดยทีม Google X ได้คิดค้น Google Glass และเปิดตัวโครงการ Smart Contact Lens ที่ถูกฟังชิปขนาดเล็กลงไป พร้อมตัวเซ็นเซอร์ที่สามารถวัดระดับน้ำตาลได้ ด้วยการวัดผลจากน้ำตาของผู้ป่วยโรคเบาหวานแทนการเจาะเลือดทุกๆวัน
- เทคโนโลยี AI ที่ใช้ใน Biometrics หรือ การจดจำอัตลักษณ์เพื่อระบุตัวตน ซึ่งปัจจุบันประเทศทั่วโลกได้มีการนำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ในการจับตัวผู้ร้ายให้ผลอย่างแม่นยำ แถมยังใช้เวลาประมวลผลในการหาตัวคนร้ายได้เร็วขึ้นด้วย
อันนี้เป็นเพียงตัวอย่างเทคโนโลยีเด่นๆ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แล้วเคยคิดมั้ยว่าโลกในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหนกัน?
World Economic Forum (WEF) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีราว 800 ราย ส่วนใหญ่มองไปในทิศทางที่คล้ายๆ กันเกี่ยวกับ ‘โลกแห่งอนาคต’ ในอีก 5 ปีข้างหน้าว่าน่าจะมีเทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
- ‘Flying car’ หรือรถยนต์บินได้ มาแน่ๆ เมื่อไม่นานมานี้ TOYOTA เป็นผู้ผลิตในญี่ปุ่นรายแรกที่ประกาศแผนพัฒนารถบินได้ดังกล่าว ขณะที่ก่อนหน้านี้มีรถแบรนด์หรูอีกรายเจ้า เช่น Porsche และ Audi ที่แสดงความสนใจในอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน โดยมองว่าจะเป็นการช่วยลดความแออัดบนท้องถนน และเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้บริโภค
- ‘การปลูกถ่ายอวัยวะ’ แบบสุดไฮเทคจะเกิดขึ้นทั่วโลก แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการประกาศความสำเร็จทางการแพทย์ในหลายเรื่อง เช่น วัคซีนสำหรับอัลไซเมอร์ โดยนักวิทยาศาสตร์จากประเทศแคนาดา, ยาต้านมะเร็งอัจฉริยะ, หัวใจเทียมเสมือนจริง และ สเต็มเซลล์ แต่โลกต่อจากนี้เราจะเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นในเกือบทุกประเทศ ไม่ใช่แค่ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างในปัจจุบัน
- ในวงการยานยนต์เรียกได้ว่า ‘รถยนต์พลังงานไฟฟ้า’ (EVs) ยังเป็นพระเอกสำหรับภาคธุรกิจอยู่ แต่จะเป็นยังไงถ้าอนาคตเรามี ‘รถยนต์ EV ระบบ AI แบบรอบคัน’ ผู้เชี่ยวชาญบางรายคาดการณ์ถึงขั้นว่า ต่อจากนี้ภายในรถโดยสารอาจจะไม่มี ‘พวงมาลัยแล้ว’ เพราะใช้ระบบสัมผัสในการขับขี่แทน
- การใช้เทคโนโลยี Biometrics เพื่อ check in ตามสนามบิน, โรงแรม ทั้งยังใช้แทนกุญแจเพื่อเข้าประตูห้องพัก เราอาจจะเคยเห็นอยู่บ้างในปีที่ผ่านมา แต่เทคโนโลยีดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นทั้งหมดในโลกใบนี้ในช่วง 5 ปีข้างหน้าแน่นอน
- การค้นหาด้วย voice มีประสิทธิภาพมากขึ้นทุกวัน ดังนั้น สิ่งที่จะเห็นในอนาคตและคาดว่าจะเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ก็คือ ‘บริการ booking ห้องพักด้วยคำสั่งเสียง’ กับทางโรงแรมโดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งเว็บไซต์จองที่พักอีกต่อไป
- ‘เครื่องบินพลังงานไฟฟ้า’ แทนการใช้น้ำมันแบบ 100% โดย CNN ได้ประเมินว่าในปี 2025 คาดว่าจะเปิดให้ใช้บริการได้เป็นครั้งแรก ซึ่งที่ผ่านมามี 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปอย่าง Airbus, Rolls-Royce และ Siemens แสดงความสนใจที่จะมุ่งสู่อุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง
- เทคโนโลยีที่มาจาก ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ จะกลายเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุด
- เทคโนโลยีสุดล้ำ ‘Texting by thinking’ คือ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนความคิดของเราออกมาเป็นตัวอักษรแบบ real time ด้วยการถอดรหัสคำพูดจากสัญญาณสมอง