ทำไม Apple ยังคงขาย iPad 2 แต่ไม่ขาย iPad 4?

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

จากกลางดึกหรือเช้าตรู่ของวันปิยมหาราช ปี 2556  Apple ซึ่งเป็นผู้นำตลาด Tablet ได้ทำการเปิดตัว Tablet รุ่นใหม่ล่าสุด 2 ตัวพร้อมกัน โดย คุณนิด INid Nirundon  (Director ของ iBeat by iAny https://www.facebook.com/ibeatbyiany) ได้มีความเห็นเกี่ยวกับการเปิดตัวนี้ ในแบบฉบับที่เคยเขียนไว้เมื่อครั้ง Apple ประกาศเปิดตัว iPhone 5S และ iPhone 5C ครั้งก่อน คือ อ่านเกม Tim Cook ผู้บริหาร Apple จากการเปิดตัว Iphone 5S และ 5C และ อ่านเกม Tim Cook ผู้บริหาร Apple จากการเปิดตัว iPhone 5s และ 5c (ตอน 2)  และใครครั้งนี้ คุณนิด INid Nirundon ได้ให้มุมมองของการเปิดตัว iPad Air และ iPad Mini ว่า ทำไม Apple ยังคงขาย iPad 2 แต่ไม่ขาย iPad 4? ให้เราได้ติดตามอ่านกันอีกครั้ง

iPad Air หรือ iPad 5

ซึ่งมีขนาดบางกว่าเดิม 20% เบากว่าเดิม 28% ปริมาตรลงลง 24% และมีน้ำหนักเพียง 1 ปอนด์ หน้าตาได้รับการทำศัลยกรรมใหม่จนเหมือน iPad mini ขยายส่วน โดยราคาเริ่มต้นเท่าเดิมคือ $499 (เมื่องไทยขาย iPad 4 เริ่มต้น 16,500 บาท ดังนั้น iPad Air ก็น่าจะขายที่ราคาเท่ากัน)

ipad-air-1

iPad mini with Retina Display หรือ iPad mini 2

ที่รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเดิมเป๊ะแต่มีจอเป็น Retina Display และแรงขึ้นอีกหลายขุมเพราะไส้ในเหมือนกับตัวพี่ iPad Air อย่างไม่มีผิดเพี้ยน  เรียกได้ว่ามันคือ iPad Air ย่อส่วนนั่นเอง ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $399 สูงขึ้นกว่าเดิม $70 (บ้านเรา iPad mini เริ่มต้น 11,200 บาท iPad mini 2 น่าจะมีราคาประมาณ 13,500 บาท)ทั้งสองตัวนี้ก็เป็นไปตามกระแสข่าวที่หลุดออกมาล่วงหน้า ไม่ได้มีอะไร Surprise มากมาย  แต่ที่หลายคนประหลาดใจกลับเป็นการมีชีวิตอยู่ต่อของ iPad 2  ซึ่งมีราคาค่าตัวถึง $399 เท่ากับ iPad mini with Retina Display แล้วคุณสงสัยมั๊ยว่า…

ipad-mini-5

“ทำไม Apple ไม่เลิกขาย iPad 2 แล้วขาย iPad 4 ต่อ?”

ทำไม Apple กลับเลือกที่จะเลิกผลิตและขาย iPad 4 ทั้งๆ ที่มันใหม่กว่าและดีกว่า iPad 2 อยู่มากมายเลยทีเดียว หลายคนบอกว่า …

Apple  แม่งบ้าไปแล้ว!

ไม่ครับ..Apple ไม่บ้าหรอกครับ แถมโคตรฉลาดอีกต่างหาก   เพราะอะไรหรอครับ….

มันคือกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขายให้ iPad Air

ในการตัดสินใจซื้อ iPad Air หรือ iPad mini with Retina Display เนืองจากสเปคที่เหลือเหมือนกันหมด ลูกค้าจึงมีเพียง 2 ตัวแปรที่ต่างกันคือ ราคา และ ขนาดของจอ  เราลองมาดูกัน..

  • iPad Air   ราคา  $499  หน้าจอ  9.7″ Retina
  • iPad mini   ราคา $399  หน้าจอ  7.9″ Retina

ชัดเจน…คนที่อยากได้จอใหญ่แน่นอนต้องเลือก iPad Air ส่วนใครชอบเล็กก็จะเลือก iPad mini แต่ถ้าคนที่นึกถึงปัจจัยเรื่องเงินเป็นหลักก็จะเลือกตรงกันข้าม

เพื่อความสนุกสนาน ถ้าเราลองเอา iPad 4 (ที่มีสเปคไม่ได้ขี้เหล่เลย) เข้ามาเปรียบเทียบอีกตัวในราคา $399 เท่ากับราคาที่ Apple ขาย iPad 2 สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นดังนี้…

  • iPad Air   ราคา  $499  หน้าจอ  9.7″ Retina
  • iPad mini   ราคา  $399  หน้าจอ  7.9″ Retina
  • iPad 4   ราคา  $399  หน้าจอ  9.7″ Retina

จะเห็นได้ว่าเกิดความยุ่งยากขึ้นทันที…ลูกค้าที่ตั้งใจจะซื้อ iPad Air เพราะจอที่ใหญ่กว่าก็จะหันมามอง iPad 4 แทนเพราะจอเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่าถึง $100  ส่วนลูกค้าที่มอง iPad mini ไว้เพราะราคาที่ถูกกว่าก็จะหันมามอง iPad 4 ด้วยเช่นกันเพราะราคาเท่ากันแต่ขนาดใหญ่กว่า

ทีนี้ลองมาดูสูตรสำเร็จของ Apple ที่เลือกขาย iPad 2 แทน iPad 4 กันหน่อย…

  • iPad Air   ราคา  $499  หน้าจอ  9.7″ Retina
  • iPad mini   ราคา  $399  หน้าจอ  7.9″ Retina
  • iPad 2   ราคา  $399  หน้าจอ  9.7″ ธรรมดา

ชัดเจนว่า iPad 2 เมื่อเทียบกับ iPad Air คือฟุตบอลคนละลีก  เพราะสเปคต่ำกว่าแบบเทียบไม่ติดและจอก็ไม่ได้เป็น Retina Display แต่ราคาดันต่างกันแค่ $100 อีก  แล้วใครจะซื้อ iPad 2 ล่ะ  เป็นผมก็ซื้อ iPad Air แน่นอน

ส่วน iPad mini นั้นเป็นตลาดของลูกค้าที่ต้องการขนาดเล็กอยู่แล้ว จึงไม่มีผลอะไรกับการเข้ามาของ iPad 2 แต่อย่างใด

ดังนั้นการเลือกที่จะขาย iPad 2 จึงเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด  ด้วยเหตุผลที่จะต้องการเพิ่มยอดขายให้ iPad Air นั่นเอง

งานนี้ต้องบอกว่าเป็นความเหนือชั้นของ Tim Cook อีกแล้วครับท่าน

ป.ล. กลยุทธ์นี้นักการตลาดเรียกมันว่า “Decoy Effect”


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •