ในอดีตวัตถุประสงค์ของการมาศูนย์การค้า เพื่อมาจับจ่ายซื้อสินค้า และใช้บริการต่างๆ แต่ทุกวันนั้นบางสินค้าและบริการ ก็แทบจะถูกแทนที่ด้วยการซื้อขายผ่านช่องทางดิจิทัล อีกทั้งปัจจุบันไลฟ์สไตล์การพักผ่อนของผู้คน มีทางเลือกหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะดู Video Streaming ที่บ้าน หรือสาย Café Hopping ตระเวนหาร้านคาเฟ่สุดชิคในวันหยุด หรือช้อปปิ้งสินค้าต่างๆ ผ่านออนไลน์
นี่จึงเป็นโจทย์ความท้าทายใหญ่ของการทำ “ศูนย์การค้า” ในยุคนี้ที่ทำอย่างไรจะดึง “ผู้คน” มาที่ศูนย์การค้า ไม่ว่าจะมาเพื่อใช้ชีวิต อัปเดตเทรนด์ ช้อปปิ้ง มารับประทานอาหาร มาร่วมกิจกรรม และอื่นๆ อีกมากมาย
ด้วยเหตุนี้เอง การดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าในยุคนี้ นอกจากตั้งอยู่บนโลเคชันดีแล้ว ยังต้องปรับ Retail Tenant Mix ภายในศูนย์ฯ อย่างต่อเนื่อง โดยหา Magnet ที่แตกต่าง หาไม่ได้จากดิจิทัล สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า เพื่อเป็น Community Hub ที่ดึงผู้คนมาใช้ชีวิตในศูนย์การค้า
“Food – Event – Exhibition” แม่เหล็กทรงพลัง ดึงคนมาศูนย์การค้า
หากย้อนกลับไปสมัยก่อน การจัดสรรพื้นที่ในศูนย์การค้า เน้นการช้อปปิ้งในหมวดหมู่ต่างๆ เป็นหลัก เช่น เสื้อผ้า สินค้าแฟชั่น ผลิตคภัณฑ์ความงาม เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ แต่ปัจจุบันจะสังเกตได้ว่า Tenant Mix หรือส่วนผสมร้านค้าปลีกในศูนย์การค้าปรับเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
โดยให้ความสำคัญกับ “อาหารการกิน” และการจัด “อีเว้นท์” มากขึ้น อีกทั้งในช่วง 1 – 2 ปีมานี้ จะเห็นได้ว่าบางศูนย์การค้า ยังได้คัดสรร “Exhibition” ชั่วคราวมาจัดแสดงอีกด้วย
ทั้ง Food, Event & Exhibition กลายเป็น “แม่เหล็ก” ในการดึงผู้คนออกจากบ้าน ให้มาใช้ชีวิตที่ศูนย์การค้า เพราะสิ่งเหล่านี้ เทคโนโลยีดิจิทัลไม่อาจทดแทนได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในด้านการได้มาเห็น มาสัมผัสประสบการณ์จริง
– อาหารการกิน ครอบคลุมตั้งแต่การเพิ่มสัดส่วนร้านอาหารมากขึ้น โดยคัดสรรร้านเด็ด ร้านดัง ร้านในตำนาน และร้านใหม่ที่น่าสนใจ ตลอดจนร้านอาหารขนาดเล็ก รูปแบบ Kiosk และซูเปอร์มาร์เก็ตที่เน้นหมวดหมู่อาหาร
เหตุผลศูนย์การค้า ต้องการเป็น Food Destination เนื่องจากอาหารการกิน ตอบโจทย์ Daily Need จึงเป็นแม่เหล็กดึงคนมาศูนย์การค้าทั้งในวันธรรมดา และวันหยุด ขณะเดียวกันทำให้เกิดการใช้จ่าย และใช้เวลาอยู่กับศูนย์การค้า
– อีเว้นท์ และนิทรรศการ บทบาทสำคัญของศูนย์การค้าคือ การเป็น “Experience Curator” เพื่อจัดอีเว้นท์ด้านต่างๆ ที่เข้าถึงแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น อีเว้นท์ด้านอาหาร, อีเว้นท์สำหรับ Pet Lovers, อีเว้นท์ในช่วงเทศกาลใหญ่ของไทย และของโลก เช่น สงกรานต์ และ Pride Month, อีเว้นท์สำหรับคนรักกาแฟ, กิจกรรมด้านสปอร์ต รวมถึงการจัดสรรพื้นที่ เพื่อจัด Exhibition ชั่วคราวที่มีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
“โจทย์ใหญ่ของศูนย์การค้าในยุคนี้ คือ ทำอย่างไรที่จะดึงคนให้ออกจากบ้าน แล้วมาศูนย์การค้ามากขึ้น ดังนั้น เรามองว่าการทำศูนย์การค้าในยุคนี้ ต้องให้ประสบการณ์จริงที่ดิจิทัลทำไม่ได้ อย่างการจัดอีเว้นท์ที่หลากหลาย เพื่อเข้าถึงแต่ละกลุ่มเป้าหมาย การจัด Exhibition การเป็นแหล่งรวมร้านอาหารอร่อย สิ่งเหล่านี้ดิจิทัลทำไม่ได้
ขณะเดียวกันศูนย์การค้าต้องเป็น Community Hub สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม และการสร้างประสบการณ์แบบ One-way ไม่ตอบโจทย์แล้วในยุคนี้ ศูนย์การค้าต้องสร้าง Immersive Experience คือ การทำให้คนที่มาศูนย์การค้าได้มี interactive ด้วย
เช่น อีเว้นท์รูปแบบ Workshop สำหรับครอบครัว จะดึงผู้ปกครองพาลูกหลานเข้ามาร่วมกิจกรรม ซึ่งการสร้าง Immersive Experience เพื่อให้คนมีเหตุผลที่จะมาศูนย์การค้าอยู่เสมอ” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงความท้าทายของธุรกิจศูนย์การค้าในปัจจุบัน
“เซ็นทรัลเวิลด์” ปรับ Tenant Mix ดึงแบรนด์ระดับโลกเปิด Flagship Store
นับตั้งแต่เซ็นทรัลพัฒนา เปิดให้บริการ “เซ็นทรัลเวิลด์” (CentralWOrld) ในปี 2545 ถึงวันนี้เป็นเวลา 21 ปีแล้วสำหรับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางย่านราชประสงค์ ที่ผ่านมาได้มีการปรับ Tenant Mix ในศูนย์การค้ามาโดยตลอด เพื่อปักหมุดสถานที่แห่งนี้ให้เป็น Global Landmark ที่ดึงดูดแบรนด์ดังระดับโลก
“เซ็นทรัลเวิลด์” ชู 3 จุดแข็งตอกย้ำความเป็น Global Destination ประกอบด้วย
1. Location ดี Traffic ดี: ด้วย Strategic location ใจกลางกรุงเทพฯ และราชประสงค์
คือย่านการค้าและท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของไทย สร้างเม็ดเงินสะพัดต่อปีรวมมูลค่ามหาศาลให้กับประเทศ มีคนสัญจรในย่านเฉลี่ยกว่า 600,000 คนต่อวัน เป็นศูนย์กลางธุรกิจและเป็นจุดหมายปลายทางของคนทั่วโลก เทียบชั้นย่านดังอย่าง Times Square New York, Oxford street และย่าน Ginza ญี่ปุ่น
พร้อมด้วย the panOramix จอ LED Digital Interactive หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ขนาดใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia เป็นพื้นที่โฆษณาถูกจองคิวจากแบรนด์ดัง และแฟนคลับทั่วโลกด้วย Visibility มหาศาล
ปัจจุบัน Traffic Recovery ของเซ็นทรัลเวิลด์จากปี 2019 เติบโตเฉลี่ย 120% เฉลี่ย Traffic ต่อวัน 150,000 คน และสูงขึ้นไปถึง 180,000 – 200,000 คนต่อวัน หากมี Event ใหญ่ภายในศูนย์ฯ อาทิ งานโครงการหลวงที่ผ่านมา
โดยลูกค้าที่มาใช้บริการแบ่งเป็น คนไทย 65% และ ต่างชาติ 35% นักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการมากที่สุดคือ Southeast Asia ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย และตะวันออกกลาง โดย 83% เป็นกลุ่ม FIT (Free Independent Traveler)
2. รวมแบรนด์ดังที่มารวมตัวกันกว่า 3,000 แบรนด์ และเตรียมต้อนรับอีกกว่า 10 แบรนด์ดังระดับโลก
– Food destination รวมร้านดังไว้กว่า 500 ร้าน ทั้งร้านแรกในไทย ร้านมิชลินสตาร์ และ Flagship Stores อาทิ Shake Shack, Canton Paradise, Mak’s noodle, Yakiniku Like Flagship Store, Tsuta เป็นต้น
– Flagship stores อาทิ Lululemon สปอร์ตแวร์ดัง แฟล็กชิพใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชียแปซิฟิค, Adidas แบรนด์เซ็นเตอร์ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก, Nike ร้านรูปแบบใหม่ใหญ่ที่สุดในไทย และ Puma Flagship Store ครบครันที่สุดหนึ่งเดียวในไทย, On-running, HOKA นอกจากนี้ ยังมี Casetify แบรนด์เคสมือถือชื่อดังแห่งแรกแห่งเดียวในไทย และล่าสุด NITORI แห่งแรกในประเทศไทย
รวมทั้งแบรนด์ทั่วโลกที่เปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ อาทิ Uniqlo, Haidilao, Tsuta, Saemauel Sikdang, Sushiro, Kam Roast, Shake Shack, Mak’s noodle, Yakiniku Like Flagship Store, Canton Paradise, Nitori, Lululemon, On-running, HOKA, Marimekko, Kate Spade, Marc Jacobs, MLB, Pandora, H&M Home เป็นต้น
– World-Class Event เป็นแลนด์มาร์คการจัดงานทั้งในระดับประเทศและระดับโลก และเป็น Festive Landmark Destination ทุกเทศกาลมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี Top of mind ความภูมิใจของไทย เช่น
- centralwOrld Bangkok Countdown ที่ยกระดับ Countdown ไทยให้มีชื่อเสียงระดับโลก เปรียบได้กับ Time square of Asia
- งาน Thailand Songkran Festival ที่ดันสงกรานต์ไทยให้เป็นหนึ่งใน World’s Best Festival
- งาน Thailand’s Pride Celebration
- นิทรรศการ Studio Ghibli 2023 ที่ใหญ่ที่สุด สร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ ชาวไทย
- งานของเล่นระดับโลก Thailand Toy Expo
- งาน Japan Expo
- งาน Heliconia Food Festival รวมสุดยอดเซเลบริตี้เชฟดังไว้ที่เดียว เป็นต้น
3. Partner Champion ที่แข็งแกร่ง
ทีมทำงานร่วมกันในโมเดล Tenant Centric พร้อมนำเสนอ Solutions ครบวงจร ที่สนับสนุนการดำเนินงานของร้านค้า ทั้งการ Drive Sale, Drive Traffic, Drive Shopper Engagement ด้วยเครื่องมือ CRM เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพใช้จ่ายได้อย่างตรง Target ตรง Lifestyles จึงเป็นเหตุผลที่ Global Lifestyles Brand ทั่วโลก เลือกเป็นสถานที่เปิดตัวแบรนด์ดังทั้งในไทยและแบรนด์ระดับโลกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับครึ่งปีหลังของปีนี้ เซ็นทรัลเวิลด์ มุ่งมั่นเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยกลยุทธ์ “The Magnitude of World Phenomenon”
1. สร้างปรากฏการณ์อีเว้นท์ Signature ระดับประเทศ-ระดับโลกที่ทุกคนต้องมา เป็น First-time ever ไม่เคยเกิดขึ้นที่ใดมาก่อน เช่น
- การเปิดตัวครั้งแรกในไทยของ POP MART ผู้นำด้านป๊อปคัลเจอร์จากจีน
- งานแสดงกันดั้มสุดยิ่งใหญ่ GUNDAM Docks at THAILAND พร้อมกันดั้มสูงกว่า 6 เมตร
- งาน Thailand Coffee Hub
- เทศกาลดนตรี Melody of Life
- งาน YWCA จำหน่ายสินค้าโดยร้านค้าจากสถานทูตในไทย
- เทศกาลเปิดไฟต้นคริสต์มาส
- centralwOrld Bangkok Countdown ส่งท้ายปีสุดยิ่งใหญ่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไตรมาสสุดท้ายของปีให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
2. เซ็นทรัลเวิลด์ยังชวนคนไทยเตรียมต้อนรับแบรนด์ระดับโลกที่จะมาเปิดตัวไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ดัง ทั้งอาหาร แฟชั่น กีฬาและอุปกรณ์กีฬา ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย แบรนด์ที่ปรับโฉมคอนเซ็ปต์ใหม่ และ Flagship store in Thailand ตอกย้ำการเป็น Global destination ที่ต้อนรับแบรนด์ดังทั่วโลก
3. เตรียมพบเทศกาลแห่งปีที่ไม่เคยมีมาก่อน กับการ Collaboration ครั้งยิ่งใหญ่กับแบรนด์ระดับโลก
“เซ็นทรัลเวิลด์ เป็น The Real Global Landmark ที่ดึงดูดแบรนด์ดังต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยความเป็น Lifestyle Brand ที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม เข้าถึงทุก Target หลากหลายระดับ ที่ผ่านมา เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นจุดเริ่มต้นของหลายแบรนด์ดังที่เปิดสาขาแรกในไทย และตอนนี้ได้ขยายสาขาไปทั่วประเทศกับเซ็นทรัลพัฒนาด้วย Ecosystem ที่แข็งแกร่ง รวมทั้งแบรนด์ทั่วโลกที่เปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา สรุปทิ้งท้าย
