5 สิ่งที่ทำให้ Digital Marketing ของคุณทำเท่าไหร่ก็ไม่เกิด

  • 670
  •  
  •  
  •  
  •  

 

Digital Marketing ในตอนนี้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย และต้องใช้หลาย ๆ ศาสตร์ผสมเข้าหากัน รวมทั้งการปรับตัวเข้าหา Algorithm ต่าง ๆ ที่ระบบเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมานักการตลาดต่างเห็นว่า Algorithm ของ Facebook ทำงานอย่างไร Instagram คนไปใช้มากแค่ไหน และ Twitter กลับมามีความสำคัญอย่างไร ซึ่งแน่นอน Digital Marketing ก็ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อไป

ในปี 2018 นี้การทำ Digital Marketing จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างมาก และไม่ทำไม่ได้แล้ว เพราะตัวเลขของผู้ใช้ที่อยู่ใน Digital และการที่ Digital เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนั้นทำให้คนทำการตลาดทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งทำให้หลาย ๆ ที่นั้นเริ่มการวางแผน Digital ส่วนที่ที่ใช้ Digital จนคุ้นเคยแล้วก็จะทำการวางแผนในรูปแบบ Integrated ระหว่าง Digital และ Physical เพิ่มขึ้นมา ทั้งนี้ไม่ว่าจะวางแผนได้แม่นแค่ไหน ก็ยังสามารถผิดพลาดได้จนทำให้การทำ Digital Marketing นั้นไม่รอดเลยทีเดียว ทั้งนี้วันนี้เราจะมารู้จัก 5 เหตุผลที่ทำให้ Digital Marketing ของคุณนั้นไม่เกิดสักที

1. ไม่ทำการ Curated Content  : ชิ้นส่วนหนึ่งของ Digital Marketing ที่สำคัญอย่างมากนั้นคือการทำ Content ภายใน Digital ซึ่งด้วย Content นี้ทำให้สามารถเกิดการรับรู้ เปลี่ยนเทียบ และส่งผลถึงการตัดสินใจซื้ออย่างมาก แล้วยังส่งผลทางอ้อมคือช่วยในการค้นหาของผู้ใช้ที่กำลังเกิดความต้องการ จนถึงช่วยในเรื่อง SEO ที่จะทำให้ติดอันดับการค้นหาด้วย ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่จะสามารถสร้างสรรค์การทำ Content ให้ได้คือการทำ Curated  Content

ThinkstockPhotos-478438600-700

คนทำ Digital Marketing ที่ดีต้องมีหน้าที่ในการดูแล Content ต่าง ๆ หรือทำการสะสม Content ที่น่าสนใจเอาไว้ เผื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างเนื้อหาหรือนำเสนอเนื้อหาที่ดีออกไป ซึ่งการทำการสะสม Content นี้จะทำให้เราได้เจอวิธีใหม่ ๆ เทคนิคใหม่ ๆ และทำให้ไม่สร้างเนื้อหาที่น่าเบื่อหรือหาอ่านที่ไหนก็ได้ออกมาอีกด้วย

2. ไม่เข้าใจ Algorithm ของ Platform : หลาย ๆ ครั้งคนทำ Digital Marketing นั้นก็สักแต่ทำ Digital Marketing จริง ๆ โดยไม่ได้สนใจว่า Platform นั้นทำงานอย่างไร หรือวิธีคิดของ Platform นั้นเป็นแบบไหน แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น ยกตัวอย่างว่าระบบ Algorithm ของ Google Search ตอนนี้เคยเข้าใจไหมว่าเปลี่ยนแปลงมาถึงระบบที่เรียกว่า Penguin แล้ว หรือ Algorithm ของ Facebook เกิดการเปลี่ยนแปลงมาถึงปัจจุบันอย่างไร วิธีการเลือก Content แสดงของ twitter, Instagram นั้นเป็นแบบไหน

ทั้งนี้ Digital Marketing ของคุณจะไม่มีวันเกิดได้เลย ถ้าไม่เข้าใจการทำงานของระบบเหล่านี้ เพื่อทำให้สามารถสร้างแผนงานหรือการลงมือทำที่เข้ากับ Algorithm ของ Platform ต่าง ๆ ขึ้นมาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดขึ้นมาได้

edgerank

3. ไม่พูดภาษาเดียวกับกลุ่มเป้าหมาย : นี้เป็นปัญหาคลาสสิกอย่างมาก เพราะแบรนด์หรือสินค้าจะมีเป้าหมายที่อยากจะเข้าไปจับกลุ่มเป้าหมายให้ซื้อสินค้า แต่วิธีการสื่อสารนั้นกลับสื่อสารคนละแบบกัน เรียกง่ายๆ ว่าคุยกันคนละภาษา เช่นเหมือนเอานายธนาคารไปคุยกับกลุ่มเด็กนักเรียนที่ไม่ได้สนใจเรื่องการฝากเงินหรือใช้บริการธนาคาร

ปัญหานี้ทำให้ Digital Marketing ของตัวเองนั้นไม่เกิดสักที เพราะการที่สื่อสารที่ไม่ได้เข้าใจกลุ่มเป้าหมายเลยทำให้สิ่งที่ทำออกมาไม่ว่าจะดีแค่ไหน ก็ไม่ถูกรับรู้ออกมา หลาย ๆ ครั้งปัญหาที่เกิดนั้นเกิดจากเรื่องง่าย ๆ อย่างเช่น การที่ทำ Content ออกมาด้วยสไตล์ที่ตัวเองชอบหรือตัดสินใจ ซึ่งไม่ได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายชอบเลย

4. ไม่มีเครือข่ายที่พึ่ง : หลาย ๆ คนคิดว่าการทำ Digital Marketing ถ้าทำดีแล้ว คนย่อมมาเห็นได้เอง แต่เอาเข้าจริงแล้ว ยากมากที่คนนั้นจะมาเห็นเนื้อหานั้นออกมา ซึ่งถ้าคิดจะลงเงินเพื่อซื้อโฆษณาให้คนเห็น Digital Marketing ของตัวเองก็เป็นหลักการที่สิ้นคิดอีก เพราะต้องลงเงินแค่ไหนเพื่อที่จะทำให้คนสนใจและเกิดผลอย่างจริงจัง

สิ่งที่ช่วยได้คือการมีเครือข่ายของตัวเองที่จะช่วยสร้างกระแส หรือช่วยส่งต่อ Digital Marketing นั้น ๆ ออกไป ซึ่งทำให้เนื้อหา หรือสิ่งที่ทำนั้นมีความน่าเชื่อถือ และเกิดความไว้ใจที่จะปฏิสัมพันธ์ได้มากกว่าโฆษณา แถมสิ่งที่เกิดขึ้นคือยังช่วยประหยัดค่าสื่อได้อย่างมากมาย

5. ไม่มี Objective และการวัดผล : ปัญหาคลาสสิกของการทำการตลาดไม่เฉพาะ Digital Marketing คือการที่ทำออกมา ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม หรือทำ ๆ ไปโดยไม่ได้มี Objective  แย่ไปกว่านั้นคือทำแล้วไม่วัดผลความสำเร็จออกมา ทำให้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำออกไปนั้น มันทำดี หรือ ไม่ดีออกไป

Screen-Shot-2014-01-07-at-1.33.21-PM

ทั้งนี้หลาย ๆ ครั้งนักการตลาดที่ทำก็ทำตาม ๆ กันโดยไม่ได้ดูว่า Objective ของตัวเองว่าทำแล้วจะได้อะไรออกมา หรือหวังอะไรจากการทำงานนั้น ซึ่งเมื่อมี Objective แล้ว ก็ต้องวัดผลเก็บข้อมูลต่าง ๆ มาด้วย เพื่อที่จะมาปรับปรุงการทำงานต่าง ๆ ของตัวเองได้ในอนาคตด้วย


  • 670
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ