คนไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้งาน Facebook เป็นลำดับต้นๆ ของโลก นั่นทำให้ Facebook ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ตลาดไทยเป็นตลาดสำคัญบนแพล็ทฟอร์มของเขา
และวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ Facebook เปิดสำนักงาน Facebook ประเทศไทย ให้สื่อมวลชนไทยกลุ่มแรกได้เข้าไปสำรวจกันแบบมินิโอเพ่นเฮาส์เบาๆ แต่มากไปกว่านั้นคือการต้อนรับจากเจ้าบ้านที่ดี คุณจอห์น แวกเนอร์กรรมการผู้จัดการ Facebook ประเทศไทย และ คุณดี-ชวดี วงศ์พยัต หัวหน้าฝ่ายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Facebook ประจำประเทศไทย
คุณแวกเนอร์ บอกว่า การเปิดสำนักงาน Facebook ประเทศไทย ถือว่าเป็นการตอกย้ำการลงทุนที่เติบโตขึ้นเพื่อขยายและปลอดล็อคโอกาสในการพลิกโฉมธุรกิจไทยสู่ดิจิทัล โดยเราจะเริ่มเปิดตัวโปรแกรม ความร่วมมือ และโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตของชุมชนผู้ใช้ Facebook ชาวไทย ที่มีมากกว่า 51 ล้านคนต่อเดือน
โดย Facebook แบ่งสังคมดิจิทัลของคนไทยออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ด้วยกัน ดังนี้
- ผู้ประกอบการ SMEs
- กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
- ชุมชน สังคม Communities
1.ผู้ประกอบการ SMEs
จากข้อมูลจากเธิร์ดปาร์ตี้ที่ Facebook ได้มาระบุว่า
– มี SMEs ไทยทำธุรกิจมากถึง 98%
– SMEs ไทยมากกว่า 2.5 ล้านราย ทำธุรกิจบน Facebook
– มีการสร้างงานจาก SMEs มากถึง 70%
– ในขณะที่ GDP เองก็เติบโตจาก SMEs มากถึง 40%
– SMEs ไทย ติดอันดับ 5 ของโลก ในการใช้ Facebook เพื่อรันธุรกิจ (สถิติปี 2017)
– และติดอันดับ 1 ของเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย (สถิติปี 2017)
– 51% ของอีคอมเมิร์ซไทย เกิดขึ้นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
ทั้งนี้ หนึ่งในความมุ่งมั่นของ Facebook คือการส่งเสริมนวัตกรรมที่โดดเด่นภายในประเทศ เช่น Social Commerce หรือเครือข่ายสังคมค้าขายออนไลน์ โดยธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME) คือหนึ่งในผู้ใช้กลุ่มแรกที่พัฒนาธุรกิจ Social Commerce ซึ่งกำลังขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และกลายเป็นเทรนด์หลักที่กำลังมาแรงสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ Facebook ประเทศไทย ยังมุ่งปลดล็อคการเติบโตของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย ที่กำลังมองหาช่องทางสู่อนาคตผ่านการค้าขายทางโทรศัพท์มือถืออีกด้วย
คุณแวกเนอร์ ยังบอกด้วยว่า เซอร์ไพรส์มากที่ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไทย สามารถใช้ฟีเจอร์ Facebook Live ในการเป็นช่องทางทางการขายออนไลน์ ถึงแม้ว่าวัตถุประสงค์ของ Facebook Live ไม่ใช่เพื่อการค้าขาย แต่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของผู้ค้าไทยก็ทำให้เกิดช่องทางที่น่าทึ่งนี้ได้
“ผู้ค้าไทยมีความสามารถมาก ใช้เครื่องมือดิจิทัลได้เก่งในการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook Business Page (เฟซบุ๊ก เพจ ที่เราคุ้นเคยนั่นเอง) และ Messenger เพื่อให้ Facebook ได้กลายเป็นแพล็ทฟอร์มที่ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จ เมื่อมองย้อนกลับไป จะเห็นได้ชัดว่าธุรกิจ SME ไทย คือพลังที่ผลักดัน Social Commerce ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างแท้จริง เราได้เรียนรู้จากพวกเขา และมุ่งมั่นที่จะลงทุนเพิ่มเติมในวิธีทางอื่นๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาพิชิตเป้าหมายทางธุรกิจและกระตุ้นการเติบโตของประเทศต่อไป”
คุณดี-ชวดี วงศ์พยัต กล่าวถึงการผลักดัน SME ว่า เรามีแนวทางในการช่วยเหลือและพัฒนา ดังนี้ 1.การพัฒนาโปรดักส์หรือทูลส์ใหม่ๆ เพื่อช่วยเหลือ SMEs ตัวอย่างเช่น ช้อปเซ็กชั่น เมสเสนเจอร์ เพย์เมนต์ หรือว่าร้านค้ามาร์เก็ตเพลส อันนี้ก็อยู่ในสิ่งที่เราพร้อมจะช่วยผลักดัน SMEs อยู่แล้ว 2.สิ่งที่เราจะช่วยคือ จะทำอย่างไรให้ลูกค้าของบรรดา SMEs ต่างๆ สามารถใช้โปรดักส์และทูลส์ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด 3.ในเรื่องเซอร์วิส ซัพพอร์ต ถ้าใช้แล้วติดปัญหาอย่างไรแล้วสามารถที่จะติดต่อให้เราเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างไร
เมื่อถามว่า มีเทรนด์ของการออกคอร์สออนไลน์ สอนยิงแอดบน Facebook หรือการทำมาร์เก็ตติ้ง บนเฟซบุ๊กเยอะมาก ซึ่งบางแห่งก็หลอกลวง ตรงนี้เป็นเพราะเราเข้าไม่ถึงกลุ่ม SMEs อย่างแท้จริงหรือเปล่า คุณดี บอกว่า ก็เป็นฟีดแบ็คทีดี ทีมของเราก็จะไปเวิร์คต่อ สำหรับความกังวลที่เกิดขึ้นเรื่องการหลอกลวงกลุ่ม SMEs ซึ่งถ้าใครมีข้อสงสัย สามารถไปที่ Facebook Blueprint ได้เลย
2. กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ Facebook จะมุ่งเน้นความพยายามเพื่อเอาชนะความท้าทายในการนำกลยุทธ์ดิจิทัลมาใช้งานจริง เพื่อตอบสนองอนาคตแห่งการใช้โทรศัพท์มือถือ และพัฒนาองค์กรต่อไป ผลวิจัยในอุตสาหกรรมภาคธุรกิจพบว่า 89% ของผู้นำองค์กรธุรกิจไทยเชื่อว่า การเติบโตสู่อนาคตของธุรกิจ ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่การทำธุรกิจเชิงดิจิทัล อย่างไรก็ตาม มีเพียง 29% เท่านั้นที่มีกลยุทธ์เชิงดิจิทัลเต็มรูปแบบ (ที่มา : Asia Data Culture Study โดย ไมโครซอฟต์)
ข้อมูลล่าสุด ยังเผยให้เห็นว่าโอกาสเติบโตทางธุรกิจในประเทศไทยนั้นสูงถึง 3.2 แสนล้านบาท หากธุรกิจปรับกลยุทธ์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้องค์กรเดินหน้าได้รวดเร็วขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นแก่ลูกค้า
ทั้งนี้ Facebook เผยว่า การทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ออนไลน์ จะสร้างโอกาสให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยได้ถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มีอีก ดังนี้
– 60% นักช้อปออนไลน์ จะออกไปจากเว็บไซต์โดยไม่กระทำการใดๆ ถ้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี
– 60% นักช้อปออนไลน์จะดูผ่านมือถือ
– แต่มีเพียง 15% ที่จะทำการซื้อจริงๆ บนมือถือ
– 43% นักช้อปออนไลน์ มักจะทิ้งตะกร้าสินค้า
– ถ้าแบบฟอร์มการลงทะเบียนซับซ้อน หรือลิงก์โฆษณาที่ไม่ต่อเนื่อง หรือเว็บไซต์ไม่เหมาะกับมือถือ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักช้อปปิ้งทิ้งตะกร้าสินค้า
นอกจากนี้ Facebook ยังสนับสนุนธุรกิจไทยในการพัฒนาวิธีการร่วมมือในระดับองค์กรผ่านแพล็ทฟอร์ม Workplace by Facebook โดยพนักงานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท เซ็นทรัล แฟมิลี่มาร์ท จำกัด และบริษัท อนันดา เดเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้เชื่อมต่อกันบนแพล็ทฟอร์มเดียว เพื่อสร้างสรรค์กระบวนการทำงานและความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นบนแพล็ทฟอร์ม Workplace ซึ่งนอกจากจะสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและส่งเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแล้ว ยังช่วยให้พนักงานรู้สึกใกล้ชิดกับองค์กรมากขึ้นด้วย
3.ชุมชน สังคม Communities
คนไทยยังได้สร้างชุมชนออนไลน์ขึ้นอย่างแข็งแกร่งเพื่อเชื่อมต่อคนที่มีความสนใจแบบเดียวกันเข้าไว้ด้วยกัน และยังช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างกรุ๊ปต่างๆ บน Facebook (หรือที่เราคุ้นเคยกันเป็น Facebook Group) นั่นเอง
สถิติที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันมีการสร้าง Facebook ในประเทศไทยสูงถึง 1,000 ล้านกรุ๊ป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายสำคัญที่จะสร้างสรรค์ความช่วยเหลือและสร้างอิมแพ็คนเชิงบวกให้กับสังคมด้วย ยกตัวอย่าง กรุ๊ปที่สร้างสรรค์พลังบวกให้แก่สังคม ได้แก่ กลุ่ม Help Us Read, Run 2 Gether, Handup Network เป็นต้น
ข้อมูลอื่นที่น่าสนใจ
– มีผู้ใช้งาน Facebook จำนวน 34 ล้านคนในแต่ละวัน
– 67% ของผู้ใช้งานเป็นประจำต่อเดือน
– ผู้ใช้งานเป็นประจำผ่านมือถือมีจำนวน 33 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม แม้คุณแวกเนอร์จะบอกว่า Facebook ไทยคือตลาดสำคัญ และการเปิดออฟฟิศในประเทศไทยก็เป็นการตอกย้ำถึงจุดนี้ แต่กลับยังไม่มีการตั้งบริษัทในไทยแต่อย่างใด และยังใช้สำนักงานสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็ยังรีครูทคนเข้าทำงานที่ออฟฟิศเมืองไทย
ส่วนเรื่องการเสียภาษีออนไลน์ที่รัฐบาลไทยกำลังผลักดันนั้น ตัวเขาไม่ขอออกความเห็นแต่อย่างใด โดยอ้างว่าไม่ได้มีอำนาจพอที่จะตอบคำถามตรงนี้ได้
Copyright © MarketingOops.com
