เปิดตัวไปแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงจากค่ายซัมซุงอย่าง GalaxyS8 และ S8+ ที่เรียกว่าเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านช่วง 10 โมงเช้าที่สหรัฐฯ หรือตรงกับช่วง 4 ทุ่มตามเวลาประเทศไทย อาจกล่าวได้ว่าเป็นการ Major Change ขนานใหญ่ของซัมซุง ชนิดที่ขนกองทัพเทคโนดลยีมายัดใส่ลงไปในสมาร์ทโฟนเครื่องเดียวได้อย่างคุ้มค่า
ยิ่งเมื่อได้สัมผัสและลองใช้งานบอกได้เลยว่า เป็นสมาร์ทโฟนที่ดีอีกหนึ่งรุ่นไม่ว่าจะด้วยรูปทรง ความสวยงาม ฟังก์ชั่นแปลกใหม่ที่เพิ่มขึ้นมา จนหลายคนเริ่มเอามาเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนคู่แข่งตลาดกาลอย่าง iPhone ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงใกล้ปลายปีที่ผ่านมา ชนิดที่เทียบกันแบบฟังก์ชั่นต่อฟังก์ชั่นเลยทีเดียวสำหรับคนที่มีคำถามว่า S8 แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ อย่างไรบ้างต้องดู
1. Iris Scanner
กล่าวกันว่า iPhone คือโทรศัพท์ที่มีความปลอดภัยขั้นสูงโดยใช้การสแกนลายนิ้วมือและรหัสลับในการปลดล็อคโทรศัพท์ แต่ใน S8 ได้เพิ่มฟังก์ชั่น Iris Scanner หรือการสแกนม่านตาเพื่อปลดล็อคโทรศัพท์ ซึ่งให้ความปลอดภัยที่สูงกว่า เพราะลายนิ้วมือสามารถทำจำลองขึ้นมาได้ แต่ม่านตาไม่สามารถทำจำลองขึ้นมาได้ ที่สำคัญไม่ได้ยากมากมายอย่างที่คิด เพียงแค่ให้ลูกตาอยู่ในวงกลม 2 จุดเท่านั้นเอง ซึ่งไม่มีระบบนี้ใน iPhone
2. Facial Recognition
อีกหนึ่งระบบความปลอดภัยที่ใส่เข้ามาใน S8 คือระบบจดจำใบหน้าที่กล้าการันตีถึงความแม่นยำและความเร็วในการปลดล็อกโทรศัพท์ที่แม้แต่การสแกนลายนิ้วมือหรือการสแกนม่านตายังสู้ไม่ได้ และกล้าการันตีด้วยการทดลองใช้กับตัวเอง โดยระบบดังกล่าวไม่ต้องเข้าโหมดกล้อง เพียงแค่หันหน้าจอเข้าหาใบหน้าก็สามารถปลดล็อคได้ที่สำคัญทำการทดลองกับคนอื่นด้วยวิธีเดียวกันแต่ไม่สามารถเปิดได้
3. Screen Size
Galaxy S8 และ S8+ มาพร้อมกับขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นกว่าในรุ่นเดิม สามารถแสดงผลภาพได้ขนาด 18.5:9 โดยในครั้งนี้นอกจากซัมซุงจะเปลี่ยนรูปแบบหน้าจอให้เป็นแบบ Edge to Edge และการนำปุ่ม Home ออกไปแล้วซัมซุงยังได้ขนาดขนาดหน้าจอโดย Galaxy S8 มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้วและในรุ่น S8+ มาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 6.2 นิ้วขณะที่ iPhone 7 มีขนาดหน้าจอเพียง 4.7 นิ้ว และในรุ่น iPhone 7 Plus มีขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้วเท่านั้น
4. Wireless & Fast Charging
ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของซัมซุงสำหรับการชาร์จแบบไร้สายและการชาร์จแบบด่วนที่มีมาให้ในรุ่นระดับท้อปของซัมซุง ขณะที่คู่แข่งอย่าง iPhone มีเสียงร่ำลือว่าจะเพิ่มฟังก์ชั่นการชาร์จไร้สายแต่ก็ยังดูเหมือนจะไม่มี ยิ่งใน Galaxy S8 ได้เพิ่มความสามารถในการชาร์จด่วนให้สามารถชาร์จได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
5. Headphone Jack
มีข่าวร่ำลือก่อนการเปิดตัว GalaxyS8 หนาหูมากถึงเรื่องของรูเสียบแจ็คสาย Headphone บ้างก็บอกว่าซัมซุงจะไม่ทำรูเสียบแจ็คสาย Headphone เนื่องจากเทรนด์การเชื่อมต่อไร้สายกำลังจะมา อีกด้านก็บอกว่าซัมซุงได้เห็นการตอบสนองของผู้ใช้ iPhone บางกลุ่มถึงการไม่มีรูเสียบแจ็คสาย Headphone ซึ่งสุดท้ายซัมซุงก็เลือกที่จะยังคงรูเสียบแจ็คสาย Headphone นั่นทำให้ผู้ใช้ซัมซูงไม่ต้องวุ่นวายกับการหาอุปกรณ์มาต่อพ่วงเพื่อให้สามารถเสียบแจ็คสาย Headphone ได้
6. Samsung Pay
แน่นอนว่าในรุ่น S8 สามารถใช้งานระบบ Samsung Pay ได้อย่างสบายใจเพราะนอกจากจะมีระบบความปลอดภัยแบบ Biometric Authentication ที่ปลอดภัยแล้ว ยังสามารถใช้งานที่ใดก็ได้ที่มีเครื่องรูดบัตรเครดิต ซึ่งซัมซุงยืนยันแล้วว่า เครื่องรูดบัตรเครดิตกว่า 90% สามารถใช้งานกับ Samsung Pay ได้ ขณะที่ Apple Pay ของ iPhone จะต้องใช้กับอุปกรณ์ที่มีฟังก์ชั่น NFC รองรับระบบของ Apple
7. VR Headset
นอกจากตัวเครื่องสมาร์ทโฟน Galaxy S8 ซัมซุงยังมาพร้อมกับ VRHeadset ที่ผลิตขึ้นสำหรับซัมซุง โดยพันธมิตรอย่าง Oculus ซึ่งไม่ใช่แต่ตัว VR Headphone เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ควบคุมอีกด้วย ที่เจ๋งกว่านั้นคือตัวกล้อง 360 องศาสำหรับซัมซุงก็น่าสนใจ ขณะที่ iPhone ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ให้มาพร้อมกับเครื่อง
8. Heart Rate
เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่เป็นเอกลักษณ์ของซัมซุง โดยในสมาร์ทโฟนของซัมซุงรุ่นท้อปจะมีเซ็นเซอร์วัดคลื่นหัวใจติดมาในสมาร์ทโฟนด้วย ซึ่งเซ็นเซอร์ดังกล่าวจะอยู่ด้านหลังใต้แฟลชและต้องใช้งานควบคู่กับแอพฯ Samsung Health ขณะที่ฟังก์ชั่นดังกล่าวไม่มีใน iPhone
9. Special Dock
อีกหนึ่งความพิเศษที่เรียกได้ว่าประหลาดใจกับ Dock อุปกรณ์เชื่อมต่อปกติทั่วไปที่เหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ Dock ของซัมซุงนี้พิเศษกว่า เนื่องจากเมื่อนำ Galaxy S8 ใส่เข้า Dock ก็จะเปลี่ยนจากสมาร์ทโฟนกลายเป็นคอมพิวเตอร์เดสก์ท้อปทันที สามารถใช้งานควบคู่กับมินิเตอร์ เม้าส์และคีย์บอร์ด บนระบบปฏิบัติการ Android ได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นการทำงานเอกสาร พรีเซ็นเทชั่น เป็นต้น แต่สำหรับ iPhone ยังไม่มี
10. Bixby
ใน Galaxy S8 นี้ยังได้เพิ่ม Bixby ระบบเลขาฯ ส่วนตัวที่มีความชาญฉลาดระดับ AI และต้องยอมรับว่า Siri ของ iPhone คือระบบเลขาฯ ส่วนตัวระดับ AI ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งฟังก์ชั่นหลายๆ อย่างก็สามารถทำได้ไม่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่หาค้นหารายละเอียดข้อมูลที่ต้องการหรือการค้นหาเส้นทางบนแผนที่ เป็นต้น แต่สิ่งที่ Siri ไม่มีก็คือการใช้รูปภาพในการสั่งงาน โดย Bixby สามารถทำได้ เพียงถ่ายรูปสิ่งของที่ต้องการจากนั้น Bixby จะทำการค้นหาข้อมูลจากสิ่งของในภาพ เช่น ราคา สถานที่ขาย หรือสเปคการใช้งาน เป็นต้น นอกจากนี้ซัมซุงยังมีอุปกรณ์ที่ชื่อ Samsung Connect ที่จะทำให้ Bixby กลายเป็นระบบAI ที่สามารถสั่งงานอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่าง Google Home
Source: Business Insider