เปิดตัวไปแล้วกับ iPhone7 และ iPhone7 Plus หลายคำถามที่สงสัยและอีกหลายข้อกังขาถูกเฉลยแล้วเมื่อเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 8 กันยายนตามเวลาในประเทศไทย เรียกว่า iPhone7 และ iPhone7 Plus มีความน่าสนใจไม่ใช่เล่น เมื่อเทียบกับในรุ่นก่อนน่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Dual-Lens Camera ในรุ่น iPhone7 Plus ที่มีทั้งเลนส์แบบ Fixed ที่มีประจำในสมาร์ทโฟนของ Apple และเลนส์ซูมแบบ Optical ที่ให้เลือกว่าต้องการถ่ายภาพแบบใด พร้อมชิพประมวลผลแบบ A10 ที่ให้ประสิทธิภาพการประมวลผลที่เหนือชั้น
แต่ดูเหมือนเทคโนโลยี Wireless Headphone จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับ iPhone7 และ iPhone7 Plus เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีไร้สายที่แตกต่างจากในท้องตลาดทั่วไป เนื่องจากในท้องตลาดจะเป็น Wireless Headphone ในรูปแบบของ Bluetooth ซึ่งเทคโนโลยีนี้ Apple ชี้ว่ายังทำให้เสียงที่ได้เกิดคลื่นรบกวน (Noise) โดยเทคโนโลยีของ Apple จะช่วยตัดปัญหาตรงนี้และยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องดีไซน์ช่องเสียบหูฟังของ Apple ได้อีกด้วย
ปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับช่องเสียบหูฟังก็คือฝุ่นละอองที่เข้าไปอุดตัน ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทโฟนและ Headphone ไม่ได้ประสิทธิภาพ 100% ซึ่งหากแก้ไขด้วยการหาอุปกรณ์หรือเพิ่มวัสดุมาเพื่อปิดช่องเสียบหูฟัง ปัญหาในเรื่องความเกะกะและสวยงามก็จะเกิดขึ้น หลายคนเลือกใช้ Wireless Headphone ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Bluetooth แต่ก็จะมีปัญหาในเรื่องของการเชื่อมต่อสัญญาณ รวมไปถึงคลื่นรบกวนทำให้ประสิทธิภาพไม่เต็ม100% เช่นกัน
Apple จึงเปิดตัวอุปกรณ์ชิ้นใหม่ขึ้นมาที่ใช้ชื่อว่า “AirPods” อุปกรณ์ที่ใช้แทนหูฟัง Headphone ปกติทั่วไป โดยเทคโนโลยีนี้มีทั้งใน iPhone7 และ iPhone7 Plus ความลับของอุปกรณ์ชิ้นนี้คือชิพประมวลผล Apple W1 Chip ที่อยู่ใน AirPods ซึ่งชิพประมวลผลนี้จะทำหน้าที่ในการตรวจจับแรงสั่นสะเทือน และการประมวลผลเสียงในการกระจายเสียงให้ออกไปในทิศทางของลำโพงได้อย่างตรงจุด
โดยการทำงานหลักของ AirPods จะเริ่มทำงานเมื่อเปิดฝาเคจสำหรับชาร์จ AirPods โดย iPhone7 จะถามถึงความต้องการในการเชื่อมต่อ ซึ่งภายในก้านของ AirPods จะมีเสาคลื่นส่งสัญญาณซ่อนอยู่ ซึ่งเมื่อทำการเชื่อมต่อแล้ว AirPods จะสามารถใช้งานในรูปแบบ Headphone เมื่อเคาะเบาๆ ไปที่ตัว AirPods ระบบไมโครโฟนที่อยู่ปลายสุดของก้านก็จะทำงาน นอกจากนี้ AirPods ยังสามารถเชื่อมต่อการฟังเพลงเข้ากับ Apple Watch 2 ได้อีกด้วย
AirPods สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องสูงสุดถึง 24 ชั่วโมงเมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็ม และสำหรับคนที่ต้องการฟังในแบบเสียบหูฟังเข้ากับตัวเครื่อง ถึงแม้ iPhone7 และ iPhone7 Plus จะออกแบบมาไม่ให้มีช่องเสียบหูฟังแล้ว ก็สามารถใช้ Adapter เชื่อมต่อเข้ากับช่อง Connector ได้เช่นกัน
การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ถือว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม Wireless Headphone และแน่นอนว่า Apple กำลังทำให้ค่ายสมาร์ทโฟนอื่นๆ ต้องหันมาสนใจเทคโนโลยี Wireless มากขึ้น โดยเฉพาะ Wireless Headphone ซึ่งน่าจะได้เห็นการอัพเกรดเทคโนโลยีเหล่าในระบบ Android ด้วยเช่นกัน แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังไม่น่าจะส่งผลจนทำให้เทคโนโลยีบลูธูทสูญสิ้น เหมือนเมื่อครั้งการเข้ามาของเทคโนโลยีบลูธูทที่ทำให้อินฟราเรดหายไปจากการเชื่อมต่อไร้สาย
