NRF ชูกลยุทธ์ 3P พร้อมปักธงรบบนเกาะอังกฤษสู่ช่องทางยุค Data Driven

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ธุรกิจส่งออกถือเป็นธุรกิจสำคัญที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศพอๆ กับการท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดยุโรปที่ถือเป็นตลาดสำคัญของประเทศไทย แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดคือผู้ส่งอออกของไทยหลายรายจะเน้นแต่การส่งออก โดยที่ไม่ได้รับรู้เลยว่า ตลาดในต่างประเทศเป็นอย่างไร ถือเป็น Pain Point ที่สำคัญของผู้ส่งออกของไทย เพราะเมื่อไม่รู้ความต้องการของตลาด ผู้ส่งออกก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าตลาดกำลังต้องการอะไร

นั่นเพราะร้านค้าในต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นร้านขนาดเล็ก และสินค้าของไทยส่วนใหญ่รวมถึงสินค้าของประเทศต่างๆ ในอาเซียนโดยเฉพาะในหมวดอาหารและเครื่องปรุง มักจะเป็นร้านค้าขนาดเล็กแบบที่ลองหลับตาแล้วนึกภาพร้านโชห่วยในต่างจังหวัด ซึ่งไม่มีระบบใดๆ เข้ามาช่วยในการขาย ยิ่งเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลบอกเลยว่ายิ่งไม่มีทางโดยเกด็ดขาด ทำให้ผู้ส่งออกไม่สามารถวางแผนเชิงกลยุทธ์ได้

 

เล็งผุดร้านค้าในอังกฤษเจาะตลาดฝรั่ง

บมจ. เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลกและการผลิตอาหารเพื่ออนาคต มองเห็น Pain Point สำคัญดังกล่าวที่ส่งผลต่อผู้ส่งออกของไทยในการทำตลาดต่างประเทศ ทำให้ NRF เดินหน้ารุกภายใต้แนวคิด “ธุรกิจอาหารเปลี่ยนโลกอย่างยั่งยืน” ผ่านรูปแบบ D2C (Direct to Consumer) โดย NRF เห็นเทรนด์การบริโภคอาหารสไตล์เอเชียในอังกฤษเติบโตขึ้นอย่างมาก

โดยมูลค่าการบริโภคร้านอาหารเอเชียจะอยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.4 แสนล้านบาท และตลาดอาหารชาติพันธุ์ (Ethnic Food Market) ที่มีมูลค่า 2.99 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ผู้บริโภคกลุ่มอาหารชาติพันธุ์กว่า 90% เลือกที่จะบริโภคอาหารกลุ่มนี้ที่บ้าน ส่งผลให้การเข้ามาซื้อสินค้าวัตถุดิบและเครื่องปรุงจากร้านขายสินค้าจำนวนมาก สำหรับมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรและสินค้าอาหารของไทยในปี 2565 มีมูลค่าอยู่ที่ 1,553,822 ล้านบาท  และในปี 2566 ตลาดส่งออกมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าราว 10,281,109,608 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 2%

นั่นจึงทำให้ NRF เตรียมวางแผนซื้อร้านค้าขายสินค้าเอเชียมาปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้ทันสมัย พร้อมด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ทั้ง AI ที่ช่วยให้เห็นได้ว่า ลูกค้ามักจะเดินไปที่สินค้าอะไร ซื้อสินค้าอะไรมากที่สุด ซึ้งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ NRF และผู้ส่งออกที่เป้นพันธมิรตรในการส่งออกสินค้าเหล่านั้น ปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือแผนกลยุทธ์การตลาด เพื่อให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของลูกค้าแบบ Personalize

 

พัฒนาแพลตฟอร์มต่อยอด O2O

นอกจากในเรื่องของการพัฒนาร้านค้าให้ดูทันสมัยและน่าเข้าไปเลือกซื้อสินค้าแล้ว NRF ยังเตรียมสร้างแพลตฟอร์มสำหรับช่องทางการขายสินค้าออนไลน์ โดยจะเป็นรูปแบบ Omni Channels หรือ O2O เป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการส่งออกครั้งแรก ช่วยให้ลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะที่อังกฤษสามารถเลือกซื้อ เชื่อมต่อร้านจำหน่ายสินค้าเอเชีย (Asian Grocery Store)

ซึ่งจะช่วยให้แพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงและกว้างมากขึ้น รวมถึงช่วยผลักดันยอดขายผลิตภัณฑ์ของ NRF และยังเสริมศักยภาพการแข่งขันให้แก่สินค้าที่มาจากเอเชียในตลาดยุโรป เป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ส่งออกไทยและอีกหลายประเทศในเอเชียทั้งรายใหญ่และรายย่อย ช่วยให้สินค้าจากเอเชียสามารถส่งออกสู่ตลาดยุโรปโดยผ่านคนกลางอย่าง NRF

โดย NRF ยังตั้งเป้าหมายยกระดับประสบการณ์ผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าเอเชียผ่านรูปแบบ O2O ภายใต้เทคโนโลยี AI ซึ่ง NRF ตั้งเป้ารายได้ราว 3-4 พันล้านบาท โดยจะมี Flagship Store สาขานำร่องในประเทศอังกฤษจำนวน 5 สาขาในปีนี้ ปัจจุบัน NRF กำลังเจรจา LOI (Letter of intent) กับร้านค้าอยู่ 2 แห่ง ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยร้านค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ขนาด ทั้งร้านขนาดใหญ่และร้านขนาดกลาง

เนื่องจาก Data ของลูกค้าในต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ผู้ส่งออกของไทยไม่เคยมี ทำให้ไม่สามารถตอบความต้องการของลูกค้าได้ รวมถึงยังขาดแพลตฟอร์มที่เป็นอีกช่องทางในการส่งออก ทำให้ NRF ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและนำ Big Data มาต่อยอดการตลาด ซึ่งผู้ส่งออกสินค้าเกษตรของไทยสามารถใช้และเก็บข้อมูลเหล่านี้ได้ โดย NRF จะช่วยแนะนำด้านการตลาดโดยอิงจาก Data ที่เก็บได้

 

ดันซอสศรีราชา พร้อมเจาะอาหารสัตว์เลี้ยง

นอกจากจะเน้นเป็นหลักในเรื่องของแพลตฟอร์มและร้านค้าในอังกฤษแล้ว NRF ยังมีแผนชูซอสศรีราชา โดยจะผลักดันให้กลายเป็น Local Product ด้วยการขยายฐานการผลิตโรงงานซอสพริกศรีราชาในสหรัฐฯ ช่วยให้สามารถสัมผัสรสชาติซอสพริกสูตรดั้งเดิมที่แท้จริง สอดรับกับตลาดซอสพริกที่สหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 101,200 ล้านบาท เติบโตกว่า 33% เมื่อเทียบกับปีก่อน และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ที่สำคัญ NRF ยังมีผลิตภัณฑ์ Pet Food โดยมีการส่งออกไป 5 ประเทศชั้นนำ อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย อินเดีย และ กลุ่มตะวันออกกลาง และยังมีแผนที่จะผลักดันผลิตภัณฑ์ Pet Food เข้าสู่ช่องทาง Modern Trade ในหลายประเทศ สอดรับกับตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงโปรตีนทางเลือก (Plant Base) ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 23.4% เมื่อเทียบกับตลาด Pet Food ทั่วไป

 

เดินหน้าสู่ Net Zero เพื่อความยั่งยืน

NRF ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอาหารที่มีวิสัยทัศน์ในการใช้อาหารต่อสู้กับโลกร้อน (Food Fighting Climate Change) ที่ต้องการเปลี่ยนโลกให้ยั่งยืนด้วยธุรกิจ Decarbonization ที่ได้เข้าลงทุนใน Frontline Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนขั้นสูงที่ได้รับรางวัล X Prize Award ที่มีเป้าหมายมาจากการความต้องการที่จะแก้ปัญหาและลดผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนจากอุตสาหกรรมอาหาร

โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกติดตั้งที่จังหวัดลำพูน โดยผลิตภัณฑ์  Bio Carbon มีส่วนช่วยในการพัฒนาดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ส่งเสริมให้การเพาะปลูกมีประสิทธิภาพและสามารถดักจับคาร์บอนในกระบวนการเกษตร รวมถึงยังช่วยลดการเผาของเกษตรกร ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้ด้วย

ภายใต้วิสัยทัศน์ “ใช้อาหารต่อสู้กับโลกร้อน” จะช่วยให้ NRF สามารถพัฒนาและต่อยอดการผลิตอาหารที่ดี เพื่อทุกคน ทุกเจเนอเรชั่น และก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมผลิตอาหารชั้นนำ บนพื้นฐานด้าน ESG พร้อมขับเคลื่อนบริษัทไปสู่เป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2573 เพื่อเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา