สงครามการค้าเป็นประเด็นร้อนแรงในเวลานี้แบบสุดๆ โดยเฉพาะเมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา นำโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศทำสงครามการค้าด้วยการขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น
- แคนาดา จะเจอภาษีนำเข้าเพิ่ม 25%
- แม็กซิโก จะเจอภาษีนำเข้าเพิ่ม 25 %
- จีน จะเจอภาษีนำเข้าเพิ่ม 10%
ที่แน่นอนก็คือหลายประเทศเตรียมพร้อมจะมีมาตรการตอบโต้ตามมาอย่าง แคนาดา และจีนที่ออกมาประกาศตั้งกำแพงภาษีส่วนกลับในทันทีหากมาตรการภาษีสหรัฐประกาศใช้จริง อย่างไรก็ตามในเวลานี้สหรัฐและคู่ค้าก็ยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองกันอยู่
สงครามการค้า คืออะไร?
สงครามการค้าเกิดขึ้นเมื่อประเทศต่าง ๆ ใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า หรือการจำกัดการนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกของเรา
ในอดีต โลกเคยเกิดสงครามการค้าที่รุนแรง โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1930 ซึ่งการตั้งกำแพงภาษีสูงและนโยบายปกป้องทางการค้าทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวแบบสุดๆ ด้วยประสบการณ์นี้ทำให้ประเทศต่าง ๆ มองเห็นความสำคัญของการค้าเสรีที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งร่วมกันนับตั้งแต่นั้น
สงครามการค้าไม่ดียังไง?
การตั้งกำแพงภาษีและการกีดกันทางการค้าส่งผลกระทบหลายอย่างโดย กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF สรุปเอาไว้ให้ 6 ข้อด้วยกันนั่นก็คือ
1. การค้าระหว่างประเทศลดลง : กำแพงภาษีที่สูงขึ้นทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณการค้าระหว่างประเทศลดลง ซึ่งอาจทำให้ Supply Chain ทั่วโลกหยุดชะงัก และจำกัดการเข้าถึงสินค้าหลากหลายประเภท
2. เศรษฐกิจชะลอตัว: การกีดกันทางการค้าด้วยกำแพงภาษีอาจทำให้ผลผลิตและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจลดลง เมื่อประเทศต่างๆ แยกตัวออกจากกัน อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกอาจประสบปัญหา ส่งผลให้การเติบโตของ GDP ลดลง และทำให้เศรษฐกิจถดถอย
3. ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจ : กำแพงภาษีที่สูงขึ้นทำให้สินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น ธุรกิจเจอกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับวัตถุดิบและส่วนประกอบต่างๆ ส่งผลให้ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคสูงขึ้น กลายเป็นแรงกดดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมาอีก
4. มาตรการตอบโต้ทางการค้า: การกำหนดกำแพงภาษีสูงโดยประเทศหนึ่งมักนำไปสู่การตอบโต้ด้วยการกำหนดกำแพงภาษีจากประเทศอื่นๆ กลายเป็นวงจรของการปกป้องทางการค้าที่ไม่จบสิ้น เป็นการขัดขวางการค้าระหว่างประเทศและทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตตึงเครียด
5. การหยุดชะงักของ Value Chain ระดับโลก: เศรษฐกิจสมัยใหม่เชื่อมโยงกันผ่าน Value Chain ที่ซับซ้อน กำแพงภาษีที่สูงขึ้นอาจทำให้เครือข่ายเหล่านี้หยุดชะงัก นำไปสู่ความไม่มีประสิทธิภาพและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทอาจต้องย้ายหรือทำซ้ำกระบวนการผลิตใหม่ทั้งหมด
6. ผลกระทบด้านลบต่อการจ้างงาน: อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศอาจประสบปัญหาจากโอกาสการส่งออกที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียงาน นอกจากนี้ ภาคส่วนที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าอาจประสบปัญหาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันและระดับการจ้างงาน
กำเนิด WTO เมื่อ 30 ปีก่อน
ด้วยผลกระทบมากมายเหล่านี้ทำให้หลายประเทศหันหน้าเข้าหากันและเป็นจุดเริ่มต้นของ องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ที่หลายประเทศร่วมกันก่อตั้งขึ้นในปี 1995 องค์กรนี้ มีวัตถุประสงค์หลักในการกำหนดกฎเกณฑ์และส่งเสริมการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิก WTO มีบทบาทในการเจรจาเปิดเสรีการค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามความพร้อมของประเทศสมาชิก และจัดการข้อพิพาททางการค้าเพื่อให้การค้าระหว่างประเทศเป็นธรรม
ทรัมป์มองว่าสหรัฐเสียเปรียบ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เห็นว่าสหรัฐฯ ประสบปัญหาดุลการค้าที่เสียเปรียบกับหลายประเทศ เช่น จีน เม็กซิโก และแคนาดา โดยมีความเชื่อว่าการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศเหล่านี้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและการจ้างงานภายในประเทศ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังวิพากษ์วิจารณ์ WTO ว่าให้ความสำคัญกับการค้าเสรีมากกว่าการปกป้องงานและค่าจ้างของแรงงานในประเทศ นั่นจึงนำไปสู่การเลือกใช้มาตรการภาษีศุลกากรและนโยบายการค้าทวิภาคีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้
อะไรจะเกิดขึ้นหากสองประเทศตั้งกำแพงภาษีใส่กัน
ลองนึกภาพว่าประเทศ A ผลิตเหล็กและส่งออกไปยังประเทศ B ซึ่งผลิตรถยนต์ หากประเทศ B ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจากประเทศ A เพื่อปกป้องผู้ผลิตเหล็กภายในประเทศ ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ B จะต้องจ่ายค่าเหล็กในราคาที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาต้นทุนการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น และอาจทำให้ราคาขายรถยนต์สูงขึ้นด้วย
ผู้บริโภคในประเทศ B จึงต้องจ่ายเงินมากขึ้นในการซื้อรถยนต์ หรืออาจเลือกที่จะไม่ซื้อเลย ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์
นอกจากนี้ หากประเทศ A ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากประเทศ B ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ B ก็จะสูญเสียตลาดส่งออกในประเทศ A ซึ่งทำให้รายได้ลดลง และอาจต้องลดการผลิตหรือลดจำนวนพนักงานนั่นเอง
การตั้งกำแพงภาษีระหว่างประเทศอาจดูเป็นวิธีการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศในระยะสั้น แต่ในระยะยาว มันสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทำให้การค้าระหว่างประเทศลดลง ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้าที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง
ตามหลักการแล้วการแก้ไขปัญหาทางการค้าควรเน้นที่การเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดความสมดุลและความยั่งยืนในเศรษฐกิจโลก ส่วนในโลกความเป็นจริงเราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าสงครามการค้าครั้งนี้จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่และจะส่งผลกระทบมากแค่ไหนกับเศรษฐกิจโลกคงต้องติดตาม
ที่มา : IMF, กระทรวงการต่างประเทศ, The Guardian