ลองนึกภาพอนาคตคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาในโลกที่อาหารมื้อเย็นมาจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เติบโตในฟาร์มแนวตั้ง (vertical farm) หรือได้รับการแนะนําจากนักโภชนาการ AI ใช่แล้ว… เป็นไปได้ว่า นี่คืออนาคตที่ คนใน Gen Beta อาจจะต้องพบต่อไปในอนาคต (ต่อจากนม กล้วยน้ำว้าบด หรืออาหารบดอื่นๆ ที่ตอนนี้ยังต้องกินอยู่) ซึ่งเป็น Generation ที่เริ่มต้นในปี 2025 แต่ละจานของพวกเขา สามารถบอกเล่าเรื่องราวของ ความกังวลต่อภัยด้านสิ่งแวดล้อม (climate consciousness) รวมไปถึงเทคโนโลยีด้านอาหารทางเลือกในอนาคตได้
ทําไมตอนนี้? การถือกำเนิดของ Generation Beta
การพูดถึง Generation Alpha ก็ดี Gen Beta ไม่ใช่แค่ศัพท์ที่ catchy หรือให้พูดเก๋ๆ เท่านั้น แต่มีบทบาทต่ออนาคตของโลกต่อไปจริงๆ อย่างที่เราปฏิเสธไม่ได้ และสำหรับเด็ก Gen Beta พวกเขาได้เริ่มต้นชีวิตในปี 2025 นี้แล้ว อย่างที่เราทราบกัน และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่ออนาคตของโลกด้วย
และทำไมต้องเป็นตอนนี้?
ประการแรก คนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen Z ซึ่งเป็นผู้ดูแลหลักของ Gen Beta นั้น กําลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นพ่อแม่ โดยนําค่านิยมด้านความยั่งยืน สุขภาพ และการไม่แบ่งแยก มาสู่ครัวของคนรุ่นต่อไป ประการที่สอง สถานะปัจจุบันของโลกกําลังเร่งการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมอาหาร (food culture) การเพิ่มขึ้นของ AI ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีอาหาร และความเร่งด่วนในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กําลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ ไม่ใช่แค่เทรนด์เท่านั้น
การกําเนิดของ Gen Beta นับเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ต่างๆ มากมายที่กำลังจะเกิดต่อไปในรุ่นของพวกเขา แม้เจ้าตัวจะเพิ่งเริ่มต้นชีวิตตัวเองในปีนี้ 2025 นี้ก็ตาม (แถมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเจนฯ ของตัวเองกำลังมีบทบาทสำคัญ) แต่ในเรื่องของวัฒนธรรมอาหาร ไม่ได้ถูกหล่อหลอมในชั่วข้ามคืน แต่มันมีวิวัฒนาการ โดยเริ่มจากโลกที่คนรุ่นหนึ่งเกิดมา อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้โลกนั้นถูกกําหนดโดยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว (rapid technological innovation) , การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทั่วโลก (global cultural exchanges) , และ ความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืน (growing urgency around sustainability)
แล้ว Generation Beta มีส่วนในการสร้างอาหารในอนาคตอย่างไร
ต้องบอกก่อนว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการทำนายอาหารโปรดหรือสูตรอาหารของ Gen Beta แต่มันเกี่ยวกับการตระหนักถึงองค์ประกอบที่หล่อหลอมรากฐานของสภาพแวดล้อมด้านอาหารของเจนเนอเรชั่นนี้ (และอาจจะต่อไปในอนาคต) โดยมีผลมาจาก ‘ค่านิยมที่สืบทอดมาจากพ่อแม่คนรุ่นมิลเลนเนียลและ Gen Z’ ไปจนถึงภูมิทัศน์ในการรับประทานอาหารที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งพวกเขาจะสืบทอดเงื่อนไขเบื้องต้นเหล่านี้ บนผืนผ้าใบที่ขาวสะอาดของพวกเขาเกิดเป็นเอกลักษณ์ด้านอาหารของตนเองขึ้นมา
ค่านิยมของกลุ่มผู้ปกครองรุ่นใหม่ ทั้งเจนฯ มิลเลนเนียลและ Gen Z จะเป็นตัวกําหนดโทนเสียงสําหรับ Generation Beta เพราะคนรุ่นนี้คือกลุ่มที่สนับสนุนการรับประทานประเภท plant-based, รับประทานอาหารประเภทขยะน้อยที่สุด รวมถึงเน้นการกลับมาทําอาหารที่บ้าน ดังนั้น จึงมีการคาดการณ์ว่า ในอนาคตวัฒนธรรมอาหารของ Gen Beta มีแนวโน้มที่จะสะท้อนให้เห็นถึงลําดับความสําคัญของอาหารประเภทนั้น ทําให้ความยั่งยืนและสุขภาพเป็นค่าเริ่มต้นมากกว่าเป็นทางเลือกหรือข้อยกเว้น
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การถ่ายทอดลักษณะนิสัยเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสอนความสามารถในการปรับตัวด้วย ตั้งแต่ความคาดเดาไม่ได้ของสภาพอากาศ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทรัพยากร ดังนั้น กลุ่มที่เป็นเจนฯ ผู้ปกครองของ Gen Beta อาจเตรียมตัวในการพวกเขาให้มองว่าอาหารไม่ใช่แค่การบํารุง แต่เป็นวิธีปรับตัวและการแก้ปัญหา
อนาคตอาหารที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
หากคนรุ่นมิลเลนเนียล คือคนรุ่นที่เห็นการเพิ่มขึ้นของ Social media และ Gen Z คือคนรุ่นแรกที่ใช้ดิจิทัลในชีวิตประจำวัน จึงเป็นไปได้ (มากเลย) ที่ Gen Beta จะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการเป็นเนื้อเดียวกับกับ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีอาหาร
การวางแผนมื้ออาหารที่ออกแบบโดย AI, robot kitchens, และโปรตีนที่ถูกปลูกในห้องปฏิบัติการ มีแนวโน้มที่จะกําหนดความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับวิธีการทําอาหาร
เทคโนโลยียังมีบทบาทในการเปลี่ยนวิธีการทําอาหาร และวิธีในการแบ่งปันอาหารอย่างรวดเร็วด้วย มีการคาดการณ์ว่าแพลตฟอร์มอย่าง TikTok จะมีบทบาทสําคัญในการเผยแพร่กระจายเทรนด์อาหารไปทั่ววัฒนธรรม การวิจัยแสดงให้เห็นว่าวิดีโอสั้นและการถ่ายทอดสดของ TikTok ได้พลิกโฉมวัฒนธรรมอาหารยอดนิยมอย่างไร โดยเปลี่ยนอาหารอย่างทาโก้ birria และลูกอม dalgona ให้กลายเป็นความรู้สึกระดับโลกในชั่วข้ามคืน GenBeta อาจเติบโตขึ้นมาในโลกที่ปฏิสัมพันธ์กับอาหารที่เน้นดิจิทัลเป็นลำดับแรก แล้วธรรมชาติเป็นเรื่องรอง (ก็เป็นไปได้)
ไม่เฉพาะแค่เรื่องการอำนวยความสะดวกสบายเท่านั้น แต่การปฏิวัติเทคโนโลยีนี้สามารถกําหนดวิธีที่เด็ก Gen Beta จะเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารได้ใหม่ ลองนึกภาพ AI ช่วยให้เด็กๆ ค้นพบประวัติของอาหารหรือสอนวิธีปลูกผักในสวนอัจฉริยะ
แม้ว่าเราจะไม่สามารถรู้ได้ว่า Gen Beta จะเปิดรับหรือเปลี่ยนแปลงนวัตกรรมเหล่านี้อย่างไร แต่การได้สัมผัสกับเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่วันแรกจะเป็นเวทีสําหรับบทใหม่ในวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับอาหาร และเมื่อเทคโนโลยีกําหนดวิธีการผลิตและแบ่งปันอาหาร สิ่งเหล่านี้กําลังลบพรมแดน สร้างวัฒนธรรมอาหารระดับโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาก่อน
ยุคแห่งอาหารไร้พรมแดน
เทรนด์อาหารครั้งหนึ่งเคยเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของนิตยสารปกมันวาวแบบปากต่อปาก ซึ่งยุคหนึ่งเคยเป็นแบบนั้น ทว่า วันนี้ วิดีโอไวรัลสามารถทําให้อาหารไปทั่วโลกได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ดังนัน Gen Beta จะเกิดมาในโลกที่การเข้าถึงรสชาติและเทคนิคการทําอาหารแบบสากลนั้นเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วทันที และความชื่นชมในรสชาติเหล่านี้ก็ยิ่งลึกซึ้งเพิ่มมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในยุคของ Gen Beta อาจมองว่า เรื่องอาหารเป็นการแสดงออกทางภูมิศาสตร์น้อยลง แต่เป็นเรื่องของการแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และพวกเขามีแนวโน้มที่จะเติบโตมาพร้อมกับการสัมผัสกับรสชาติและสไตล์การทำอาหารที่กว้างมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ ได้ ทั้งนี้ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram กําลังขับเคลื่อนการเติบโตของเนื้อหาอาหารอย่างไร ทําให้อาหารเป็นประสบการณ์ทางภาพและสังคมมากพอๆ กับประสบการณ์ส่วนตัว
ช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างไร
วัฒนธรรมอาหารของทุกรุ่นที่ผ่านๆ มา อาจเริ่มต้นด้วยเงื่อนไขเวลาของพวกเขาเหล่านั้น แต่สําหรับ Gen Beta นี่อาจหมายถึงการเติบโตในยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว, ความท้าทายด้านสภาพอากาศ และการเข้าถึงรสชาติระดับโลก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงกระนั้น องค์ประกอบเหล่านี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
วัฒนธรรมอาหารที่เราสร้างขึ้นในวันนี้จะเป็นตัวกําหนดความสัมพันธ์ของ Gen Beta ทั้งกับเรื่องการกิน, การทําอาหาร และการแบ่งปันอาหาร และไม่ใช่แค่นิสัยที่พวกเขาจะได้รับสืบทอดมาเท่านั้น เพราะว่ามันยังเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจะปรับให้เข้ากับความท้าทายและโอกาสในยุคของพวกเขาเองด้วย
งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า การเลือกอาหารจากรุ่นสู่รุ่นได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากสถานการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ซึ่งสําหรับ Gen Beta นี่หมายถึงการเติบโตในโลกที่ความยั่งยืนและการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางวัฒนธรรมมากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาหารคือความสามารถในการทําหน้าที่เป็นทั้งกระจกและแคปซูลเวลา Gen Beta จะเป็นผู้กําหนดวัฒนธรรมย่อยด้านอาหารของคนรุ่นพวกเขา โดยสร้างรสชาติ ประเพณี และจุดสัมผัสที่จะเป็นของพวกเขาเอง แบบที่ไม่เหมือนใคร โลกแห่งอาหารของพวกเขาจะพัฒนามากขึ้น และสะท้อนถึงค่านิยมและประสบการณ์ในแบบของพวกเขาเอง
และอย่างที่แซวไว้ว่า แม้ว่าตอนนี้ชาว Gen Beta ที่เพิ่งเกิดขึ้นมานั้น อาจจะทำได้เพียงแค่ดูดนมได้เท่านั้นเอง (เด็กแรกเกิดจะไปอะไรกับเขามากล่ะ) แต่สิ่งที่คนรุ่นนี้ทำได้ก็คือการเฝ้าติดตามและดูการกรูมรากฐานต่างๆ จนเห็นเป็นรูปเป็นร่าง พร้อมกับตระหนักถึงค่านิยมใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในมุมด้านอาหาร และถ้าอยากจะฝากถึงแบรนด์และนักการตลาดที่ทำธุรกิจด้านอาหารก็คงเป็นการเตรียมความพร้อมสู่อนาคตอาหาร เทคโนโลยีด้านอาหารที่จะมาตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของ Gen Beta ในอนาคตด้วย ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของคุณรอดพ้นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ต่อไป.
Source:
https://www.forbes.com/sites/stephaniegravalese/2025/01/02/generation-beta-why-2025-marks-the-beginning-of-a-new-food-generation/