ปัจจุบันระบบเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วคือ “Creator Economy” ไปพร้อมกับโลกยุค Media Fragmentation โดยใน session “Influencer Trends 2025” ภายในงานสัมมนา CTC2024 โดย คุณสุวิตา จรัญวงศ์ CEO & Co-founder of Tellscore Co., Ltd. ได้พาไปเจาะลึก 8 เทรนด์ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ดังนี้
1. ปัจจุบันประเทศไทยมีครีเอเตอร์–อินฟลูเอนเซอร์กว่า 9 ล้านคน รวมทุกช่องทางในไทย (รวม Micro Influencers)
ทุกวันนี้ครีเอเตอร์–อินฟลูเอนเซอร์ เป็น Omni-channel Creators บนหลัก 3Cs คือ
– Content ผลิตคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ
– Commerce รายได้ยังมาจากการขายด้วยเช่นกัน
– Community พบว่ามีครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์มีการจัดกิจกรรม Fan Meet, Talk Show หรือคอนเสิร์ต กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางรายได้จากการขายบัตร เป็นการยกฐานแฟนคลับออกจากโลกออนไลน์ ไปเจอตัวจริงที่โลก Physical แล้ว ทำให้ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ ไม่ได้มีเฉพาะ Third-party data จากยอดการรับชมบนแพลตฟอร์มดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังได้ First-party data จากการที่แฟนคลับลงทะเบียนสมัครสมาชิก และซื้อบัตรเข้าร่วมกิจกรรมที่ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์จัดขึ้น
ปัจจุบันโมเดลการหารายได้ของครีเอเตอร์–อินฟลูเอนเซอร์ (Monetization Model) ประกอบด้วย
– รายได้มาจากแบรนด์, เอเจนซี (Pay per content): เช่น ทำคอนเทนต์รีวิว
– รายได้มาจาก Commission (Affiliate Marketing): เมื่อ Creator/Influencer Economy พัฒนาไปไกล ทำให้มีโมเดลรายได้รูปแบบ Commission base เช่น โปรโมท หรือรีวิวและติดตะกร้าสินค้า, ไลฟ์ขายของ จะได้เป็นค่า Commission จากยอดขายสินค้าตามข้อตกลงกับแบรนด์ หรือผู้ว่าจ้าง
– รายได้มาจากลิขสิทธิ์คอนเทนต์ และการขายคอนเทนต์ให้กับแบรนด์สินค้า, เอเจนซี (Content Rights & Content Pay Out): มีทั้งรูปแบบคอนเทนต์ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ปรากฏในช่องทางอื่น ก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์คอนเทนต์นั้นๆ และรูปแบบแบรนด์/เอเจนซี ซื้อขาดคอนเทนต์นั้นไปเลย โดยผู้ซื้อมีสิทธิ์นำคอนเทนต์ไปใช้ในช่องทางต่างๆ
– รายได้มาจากการเป็นวิทยากรตามงานต่างๆ (Speaking & Presence Opportunities): ครีเอเตอร์หลายคนเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ทำให้มีการเชิญไปเป็นวิทยากรงานต่างๆ
– รายได้มาจากผู้ติดตาม (Subscription & Exclusive Content): เช่น บนแพลฟตอร์ม YouTube ทำรูปแบบ Subscription และ Exclusive Content ทำให้ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์สามารถมีรายได้เข้ามาอีกทาง
– รายได้มาจากการจัดกิจกรรม Fan Meets, Talk Show: เช่น รายได้จากการขายบัตร
จะเห็นได้ว่าโมเดลรายได้จากผู้ติดตาม และรายได้จากการจัดกิจกรรม ถือเป็น Fanbase Monetization ทำให้ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็น “ไอดอล” หรือ “ศิลปิน” ดังนั้นยิ่งครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์คนไหนหรือกลุ่มไหน มีฐานแฟนผู้ติดตามจำนวนมาก จะยิ่งเพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากสองโมเดลนี้มากขึ้น
2. Global Mega Trends: เทรนด์ครีเอเตอร์–อินฟลูเอนเซอร์ เชื่อมโยงกับเทรนด์โลก
– หลายประเทศเข้าสู่สังคมสูงวัย
– คนในประเทศมีรายได้ต่ำ ทำให้คนหา Passive income ด้วยการทำครีเอเตอร์-เป็นอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้น
– เทคโนโลยีรุดหน้าเร็ว ระบบการศึกษาผลิตคนที่เหมาะกับงานไม่ทัน
– สภาวะเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ, เศรษฐกิจฝืดเคือง
– โลกเปลี่ยนผ่านสู่ AI, EV และสินค้าจีนทะลักทั่วโลก
– คนต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น บางคนยังทำงานประจำ แต่มีรายได้แหล่งที่สองจากการเป็นครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ด้วย
– นายจ้างมีความต้องการจ้างงานแบบสัญญาจ้าง เพื่อลดค่าใช้จ่าย Fixed cost
– คนขาดความรู้ในการออม บริหารค่าใช้จ่าย ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
– สภาพอากาศแปรปรวน กระทบกับภาคการเกษตร, เกิด Food Crisis, เกิดโรคอุบัติใหม่
เทรนด์โลกเหล่านี้ ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ด้วยการผลักดัน หรือขับเคลื่อนช่วยกันแก้ไข อย่างแนวโน้มด้าน Workforce ข้อมูลจาก Statista รายงาน ครีเอเตอร์มีส่วนในการสร้างการเติบโตให้กับ GDP แต่ละประเทศผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างไร เช่น
– YouTube: ในฝรั่งเศส YouTube Creator สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศกว่า 20,000 ล้านบาท ขณะที่สหรัฐอเมริกา YouTube Creator สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศกว่า 900,000 ล้านบาท
– TikTok: ในฝรั่งเศส TikTok Creator สร้างรายได้ 50,000 กว่าล้านบาท ซึ่ง GDP ฝรั่งเศสใหญ่กว่าไทยประมาณ 5 เท่า เพราะฉะนั้นเมื่อมาเทียบกับประเทศไทยแล้ว ประมาณการณ์ว่า TikTok สร้างรายได้ครีเอเตอร์ไทยในหนึ่งปี ประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท
3. Workforce: คนทำงานแบบ On-Demand Jobbers / Gig Workers / Multi-jobbers เพิ่มขึ้น
เป็นคนทำงานที่มีแหล่งรายได้มากกว่า 1 แหล่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฟรีแลนซ์ แต่ก็มีพนักงานประจำด้วยเช่นกัน พบว่าในประเทศไทยมีคนเข้ามาเป็น On-Demand Jobbers / Gig Workers / Multi-jobbers เพิ่มขึ้น 15 – 20% ต่อปี
ปัจจัยที่ทำให้ On-Demand Jobbers / Gig Workers / Multi-jobbers เติบโตคือ 1. คนอยากทำงานอิสระมากขึ้น 2. พนักงานบริษัท ก็ออกไปเป็นคนทำงานอิสระที่มีรายได้จากหลายแหล่ง และ 3. การเพิ่มขึ้นของครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ พบว่าหลายคนทำงานแบบ Digital Nomad ทำงานผ่านดิจิทัลจากที่ไหนก็ได้ของโลก
อีกทั้งยังพบว่าในปี 2024 ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกกำลังจะทำงานแบบ Full-time มากขึ้น เพราะด้วยรายได้ที่เข้ามา ทำให้ทำงานอิสระได้
4. Creator Culture & Soft Power / Subculture: วัฒนธรรมย่อยเติบโตจาก Media Fragmentation ทำให้แตกกลุ่มผู้ชม/ผู้ฟัง (Audience) ออกเป็นกลุ่มๆ
สำหรับ Soft Power ไทยในภาพใหญ่ เช่น มวยไทย, แฟชั่นไทย, ละคร-หนังไทย, หนังผีไทย, อาหารไทย, นวดไทย, สงกรานต์ไทย, ท่องเที่ยวไทย เชื่อมโยงกับครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ เช่น ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์สายท่องเที่ยว, สายแฟชั่นบิวตี้, สายสยองขวัญไทย, สายสุขภาพ, สายอาหาร จะล้ออยู่กับ Soft Power เหล่านี้
นอกจากนี้ปัจจุบันยังเกิดวัฒนธรรมย่อยในวงการครีเอเตอร์ (Creator Culture & Subculture) ได้แก่
– Introvert ทำให้เกิดการพูดคุย หรือคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับคน Introvert
– Art Toy
– Pet Lovers
– Self Improvement
– Sustainability
– Wheel Journey
– Silver สูงวัย
– ช่างไฟต้องเท่ ปัจจุบันกลุ่มอาชีพช่างไฟมาเป็นครีเอเตอร์ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม TikTok ทำให้คนดูได้เรียนรู้จากคอนเทนต์สายอาชีพ
5. Creator Commerce: คาดการณ์มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย ปี 2568 อยู่ที่กว่า 7.5 แสนล้านบาท ปัจจุบันครีเอเตอร์–อินฟลูเอนเซอร์ มาเป็น “Creator Commerce” หรือนักไลฟ์ตัวพ่อตัวแม่มากขึ้น
ผลวิจัยพบว่า 93 – 95% ของลูกค้าอ่าน/ดูรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า โดยกว่า 80% เป็นคอนเทนต์รีวิวมาจากครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ และอีกประมาณ 15% มาจากรีวิวของผู้บริโภคจริง
สำหรับโมเดลรายได้ของครีเอเตอร์นักไลฟ์ ทุกวันนี้รูปแบบ Affiliate Marketing ที่เป็น Commission base กำลังได้รับความนิยม และมีแบบไฮบริด หรือลูกผสมระหว่าง Affiliate กับรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
– Commission Only
– Pay per post + Commission เช่น จ่ายค่าทำคอนเทนต์เล็กน้อย และผสมกับค่า Commission
– Exclusive or Campaign-based เช่น มีนักไลฟ์ประจำแบรนด์จ้างระยะเวลา 6 เดือน หรือ 1 ปี
– Live Selling
– Affiliate Clip (คลิปติดตะกร้า)
ขณะที่ช่องทางการขายบนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในไทย
– Shopee
– LAZADA
– TikTok
– LINE
หมวดสินค้ายอดนิยม
– แฟชั่นเสื้อผ้า
– เครื่องสำอาง-ความงาม
– อาหารและเครื่องดื่ม
– เครื่องใช้ไฟฟ้า/อุปกรณ์ Gadget
– สินค้าใช้ภายในบ้าน
เหตุผลในการซื้อของคนไทย เป็น “Shoppertainment” ทำให้เกิด Impulse Buying มาก ทำให้เวลานี้เจอปรากฏการณ์ว่าคนรุ่นใหม่รู้จักแบรนด์ครั้งแรกตอนซื้อสินค้าครั้งนั้น ซึ่งแตกต่างจาก Marketing Funnel ดั้งเดิมที่เริ่มจาก Awareness > Consideration > Conversion > Loyalty > Advocation ขณะที่ปัจจุบันบางครั้งผู้บริโภคเกิด Awareness ที่ Bottom Funnel ตอนซื้อ แล้วค่อยมาศึกษาว่าแบรนด์ที่ซื้อไปนั้นคืออะไร โดยผลสำรวจพบว่า
– 88% ของผู้บริโภคได้รับอิทธิพลการตัดสินใจซื้อสินค้าด้วยคอนเทนต์ที่ไม่มีการส่งเสริมการขาย เช่น รีวิว, How to (Shoppertainment)
– กว่า 97% ของผู้บริโภค เผยความต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า พิจารณา และตัดสินใจซื้อภายในแพลตฟอร์มเดียว
สำหรับแรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภค ต้องการความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับแบรนด์ (Emotionally Connected) เช่น ต้องการมี Gamification ต้องการความบันเทิง ความสนุก และเรื่องราวของแบรนด์
ขณะที่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์คอนเทนต์บน Social Media แต่ละแพลตฟอร์มในปี 2024 – 2025 ได้แก่
– YouTube: 6.00 – 9.00 pm
– Facebook 12.00 – 3.00 pm
– X (Twitter) 12.00 – 3.000 pm
– Instagram 12.00 – 3.00 pm หรือ 6.00 – 9.00 pam
– TikTok 6.00 – 9.00 pm
– LinkedIn 3.00 – 6.00 pm
นอกจากนี้ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ทำคอนเทนต์บนหลายแพลตฟอร์ม และทำคอนเทนต์ทีเดียวให้ทำแบบ Multi-format ทั้งวิดีโอแนวตั้ง – แนวนอน, Podcast, บทความ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องมือ AI ช่วยทำคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ รวมทั้ง Social Media กลายเป็น Search Engine ไปแล้ว เพราะฉะนั้นควรติด hashtag และมี Keyword อยู่ในแคปชัน
6. AI Tools for Content Creator: การพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างรวดเร็ว ทำให้ครีเอเตอร์–อินฟลูเอนเซอร์มีเครื่องมือ AI เป็นตัวช่วยในการทำงาน เช่น
– Content Ideas & Content Strategy: ChatGPT, SEMRUSH
– Writing Tools: AISEO, Jesper
– Storyboarding & Image Generation: Storyboarding Boords, Storyboarding Krock, Midjourney, Adobe Firefly, – Canva
– Video Creations: Get Munch, Vidyo.ai, Sora AI, Descript
– Social media content management & analytics: Flick, Content Studio
– Multi-purpose AI Tools: Vondy, Hootsuite
7. Performance: การวัดผลทางการตลาดของครีเอเตอร์–อินฟลูเอนเซอร์ ประกอบด้วย
– Number of creators or number of content
– Number of followers
– Cost per Impression
– Cost per Reach
– Cost per View
– Cost per Engagement
– Cost per Click
– Cost per Sales
การวัดผล เดิมทีวัด ROAS (Return on Ad Spend) แต่ปัจจุบันต้องวัด ROCAS (Return on Content + Ad Spend) คือ การบวกค่าคอนเทนต์ กับค่าบูสต์โฆษณา
8. Media Landscape & Trust: การสร้างความน่าเชื่อถือ (Trust) เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ มากกว่ายอดวิว และเรตติ้ง
ขณะเดียวกันยังพบความเปลี่ยนแปลงของ Media Landscape คือ บริษัทสื่อดั้งเดิม ทรานส์ฟอร์มเป็นสื่อดิจิทัล กำลังติดอาวุธในแง่ของการเพิ่มขีดความสามารถการทำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล ในขณะที่ครีเอเตอร์-อินฟลูเอนเซอร์ กำลังพัฒนาการกลายไปเป็นบริษัทสื่อ
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลดีในแง่ของความหลากหลายของคอนเทนต์ การเข้าถึง และความเป็นกลางของภูมิทัศน์สื่อ