มวยปล้ำ: ไม่ใช่กีฬาแท้ แต่ทำไมคนชอบดู และเบื้องลึกดีลยักษ์ Netflix x WWE

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

Netflix หันมารุกตลาด Live กีฬา ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จกับ มวย อเมริกันฟุตบอล เทนนิส ในปี 2025 เริ่มศักราชใหม่ Netflix ก็เริ่ม Live มวยปล้ำ หรือ Pro wrestling ซึ่งเป็นดีลมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ระยะเวลา 10 ปีกับ WWE ผู้จัดมวยปล้ำรายใหญ่ที่สุดในโลกแห่งสหรัฐอเมริกา

เราจะพามาดูเรื่อง Insight ของมวยปล้ำว่าเป็นธุรกิจที่ทำงานอย่างไร รวมถึงเบื้องลึกของดีลยักษ์ระหว่าง Netflix กับ WWE  

มวยปล้ำเป็นกีฬาหรือไม่?

มวยปล้ำอาชีพ หรือ Pro Wrestling เป็นรูปแบบของ ‘การแสดงทางกีฬาที่มีความเป็นละคร’ มันคือศิลปะการแสดงที่นำเสนอผ่านการแข่งขันปลอมๆ บนพื้นฐานของการเล่าเรื่อง (Storytelling) และความบันเทิง

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามวยปล้ำจะปราศจากความท้าทายหรืออันตราย ทั้งการกระโดดสูง การทุ่ม หรือการล็อกล้วนต้องการทักษะเฉพาะตัวและความแข็งแกร่งของนักกีฬา ซึ่งหากทำผิดพลาดอาจนำไปสู่การบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งอันตรายถึงชีวิต

ย้อนกลับไปในยุคแรก นักมวยปล้ำเคยเป็นนักสู้ที่แข่งขันจริง แต่การต่อสู้เหล่านั้นกลับดึงดูดคนดูได้น้อย เพราะการต่อสู้จริงมักยืดเยื้อและดูไม่น่าตื่นเต้น จึงมีการ ‘ปรับบท’ ให้การแข่งขันน่าสนใจขึ้น โดยการสร้างฉากการต่อสู้ที่กระชับ เร้าใจ และดราม่ามากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้คนดูมีความสุข แต่ยังช่วยให้นักมวยปล้ำมีเวลาฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและเดินสายขึ้นแสดงได้อย่างต่อเนื่อง

และในที่สุดมวยปล้ำก็เปลี่ยนโฉมหน้าสู่การเป็นการแสดงอย่างเต็มตัวในยุค 1950s

แม้กระนั้น สถานะของมวยปล้ำในฐานะกีฬาที่แท้จริงยังคงเป็นประเด็นที่คลุมเครืออยู่ น่าสนใจที่ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ยังมีผู้ชมบางส่วนที่เชื่อว่ามวยปล้ำเป็นเรื่องจริง

จุดเปลี่ยนสำคัญคือปี 1989 เมื่อ Vince McMahon ผู้ก่อตั้งและประธานของ World Wrestling Federation (WWF หรือ WWE ในปัจจุบัน) ยืนยันว่ามวยปล้ำอาชีพไม่ใช่กีฬาแท้ เพราะผลของการแข่งขันได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตด้านกีฬาในรัฐนิวเจอร์ซีย์ จากนั้น WWF ก็ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองไปเป็นบริษัท ‘Sports entertainment’ 

Editorial credit: Tom Rose / Shutterstock.com

เบื้องหลังพล็อตและการสร้างสตาร์

การเขียนบทในมวยปล้ำมีเป้าหมายหลัก คือสร้างความบันเทิงผ่านเรื่องราวที่ชวนติดตาม และตัวละครที่มีมิติ การสร้างเรื่องราวนี้เองที่ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับนักมวยปล้ำ และกลับมาติดตามอย่างต่อเนื่อง

ทุกสิ่งตั้งแต่พล็อตเรื่อง ไปจนถึงผลการแข่งขัน ล้วนผ่านการเขียนบทโดยทีมผู้สร้าง ซึ่งมักเป็นอดีตนักมวยปล้ำที่รู้ลึกถึงจังหวะและเสน่ห์ของการแสดงในวงการนี้

อย่างเช่นที่ WWE จะมีแผนกเขียนบทสร้างสรรค์โดยเฉพาะ มีนักเขียนมากกว่า 20 คน จากหลากหลายที่มา ทั้งจากละครโทรทัศน์ ละครเวที รายการทีวี ภาพยนตร์ และนักมวยปล้ำเก่า บางคนเป็นแฟนมวยปล้ำและมีพื้นฐานเกี่ยวกับวงการนี้ แต่บางคนไม่มีพื้นฐานเลย บางคนอาจจะเก่งในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ และต้องให้คนอื่นช่วยนำกลับมาเชื่อมโยงกับเรื่องในเวที 

การเล่าเรื่องคือหัวใจสำคัญของมวยปล้ำ บทบาทของนักมวยปล้ำแต่ละคนมักผูกเข้ากับพล็อตที่สร้างอารมณ์ร่วม เช่น ความรัก การแก้แค้น หรือมิตรภาพ การแข่งขันในสนามไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ แต่ยังเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวที่ลึกซึ้ง

ทีมงานผู้ควบคุมการแสดง หรือที่เรียกว่า ‘Booker’ เป็นผู้ตัดสินว่าใครจะชนะหรือแพ้ในแต่ละแมตช์ โดยพิจารณาจากแนวทางของเรื่องราวในระยะยาว ความนิยมของนักมวยปล้ำ และการตอบรับจากแฟนๆ

แม้ผลจะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่นักมวยปล้ำต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การแสดงออกมาสมจริงที่สุด การจับจังหวะ ความแม่นยำ และความไว้วางใจกันระหว่างคู่ต่อสู้ เปรียบเสมือนการเต้นรำที่ต้องสอดคล้องกันในทุกจังหวะ

ส่วนการเลือกว่าใครจะเป็นดาราเด่นในวงการมวยปล้ำไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวกับบุคลิกภาพ เรื่องราวชีวิตจริง และการสร้างตัวละครที่มีเอกลักษณ์ นักมวยปล้ำของ WWE อย่าง The Rock หรือ John Cena ไม่ได้ดังเพราะฝีมือการต่อสู้เท่านั้น แต่เพราะบุคลิกและคาแรกเตอร์ที่ทรงพลัง ทำให้แฟนๆ รู้สึกเหมือนกำลังติดตามชีวิตของฮีโร่ในนิยาย

มากไปกว่านั้น การสร้างนักมวยปล้ำซูเปอร์สตาร์ขึ้นมาสักคน ยังเปรียบเสมือนคนที่ทำหน้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของแบรนด์ด้วย 

Editorial credit: Tom Rose / Shutterstock.com

Fake แต่ทำไมยังชอบดู?

ก็เหมือนกับภาพยนตร์ ซีรีส์ รายการเรียลลิตี้ ถามว่ามีอะไรที่เรียลบ้าง? – ไม่มี แต่ถามว่าเอนเตอร์เทนมั้ย – แน่นอน

แม้ว่าหลายคนจะรู้ว่ามวยปล้ำอาชีพเป็นการแสดงที่ถูกเขียนบท แต่กลับไม่ได้ลดทอนความสนุกลงเลย สำหรับแฟนๆ มวยปล้ำคือศิลปะการบอกเล่าเรื่องราวที่รวมทุกแง่มุมของความบันเทิงไว้ในเวทีเดียว ทั้งแอ็กชัน ดราม่า ความตลก มิตรภาพ การทรยศ ความรัก และการเผชิญหน้ากับอุปสรรค ทั้งหมดนี้สร้างประสบการณ์ที่ยากจะหาได้จากที่อื่น

นักมวยปล้ำไม่ได้เพียงแค่ต่อสู้ในสนาม พวกเขาคือตัวละครที่มีชีวิต มีแรงจูงใจ และมีเรื่องราวเบื้องหลังที่เชิญชวนให้ผู้ชมติดตาม การแบ่งตัวละครออกเป็น ‘ฮีโร่’ และ ‘วายร้าย’ อย่างชัดเจน ทำให้แฟนๆ สามารถอินไปกับความขัดแย้งและการต่อสู้ในแต่ละแมตช์

เรื่องราวความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างคู่ปรับที่ดำเนินยาวนานหลายเดือนหรือหลายปี ช่วยให้แฟนๆ มีสิ่งที่รอคอยและพูดถึง

แม้ผลการแข่งขันจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่นักมวยปล้ำต้องแสดงทักษะและความสามารถทางกายภาพที่เหนือชั้น การเคลื่อนไหวที่สวยงาม เช่น การกระโดดจากมุมเวที หรือการยกตัวคู่ต่อสู้ในจังหวะที่เหมาะสม ล้วนต้องใช้ความแข็งแรง ความแม่นยำ และการฝึกฝนอย่างหนัก

ศัพท์ที่น่าสนใจในโลกของมวยปล้ำ: 

  • Kayfabe: การรักษาความสมจริงในโลกของมวยปล้ำว่าเรื่องราวและคาแรกเตอร์เป็นเรื่องจริง
  • Gimmick: คาแรกเตอร์ หรือ Persona ที่ใช้ในการแสดงของนักมวยปล้ำ 
  • Face: ฮีโร่
  • Heel: วายร้าย 
  • Mark: แฟนๆ ที่เชื่อว่ามวยปล้ำเป็นเรื่องจริง ส่วนใหญ่เป็นเด็ก
  • Smark: แฟนๆ ที่รู้ว่ามวยปล้ำไม่ใช่การต่อสู้จริง แต่สนุกไปกับทั้งเรื่องราวบนเวทีและเบื้องหลังที่ถูกวางแผนไว้อย่างดี
Editorial credit: Christian Bertrand / Shutterstock.com

ศักยภาพในทางธุรกิจของมวยปล้ำ

มวยปล้ำอาชีพไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่ยังเป็นอุตสาหกรรมระดับโลกที่มีมูลค่าสูงถึง 2.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดว่าจะเติบโตถึง 2.77 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2031 โดยมีอัตราการเติบโตที่ CAGR 6.66% ในช่วงคาดการณ์ปี 2024-2031

ด้วยการขับเคลื่อนของผู้เล่นสำคัญอย่าง WWE, AEW และ NJPW อุตสาหกรรมนี้เติบโตจากการผสมผสานของการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ความสามารถด้านกีฬา และความพร้อมในยุคดิจิทัลทั้งสตรีมมิงและโซเชียลมีเดียที่ดึงดูดผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลก  

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งเสริมการเติบโตของตลาด เช่น 

  • สินค้าลิขสิทธิ์: การจำหน่ายเสื้อผ้า แอ็กชันฟิกเกอร์ และวิดีโอเกม เป็นแหล่งรายได้สำคัญ โดยความร่วมมือกับแบรนด์ดังและการออกสินค้าแบบลิมิเต็ดช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์
  • การครอสโอเวอร์กับอุตสาหกรรมบันเทิงอื่นๆ: นักมวยปล้ำที่ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์หรือรายการทีวีดึงดูดผู้ชมกลุ่มใหม่และเสริมความนิยมของกีฬามวยปล้ำ
  • ความต้องการในงานถ่ายทอดสด: การชมมวยปล้ำแบบสดยังคงเป็นประสบการณ์ที่แฟนๆ ชื่นชอบ โดยเฉพาะงานใหญ่ๆ อย่าง WrestleMania ที่ดึงดูดผู้ชมจำนวนมากและกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองที่เป็นเจ้าภาพ
  • เนื้อหาที่หลากหลาย: การโปรโมตมวยปล้ำในปัจจุบันมีการนำเสนอเนื้อหาที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่รายการที่เหมาะสำหรับครอบครัวไปจนถึงเรื่องราวที่เข้มข้นสำหรับผู้ใหญ่

WWE ถือเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดมวยปล้ำ โดยในปี 2022 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์ และในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 มีรายได้ 326.3 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

การรวม WWE และ UFC เข้าสู่ TKO Holdings ยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงของอุตสาหกรรม โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 TKO มีรายได้รวม 681.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความสำเร็จจากไลฟ์อีเวนต์ ลิขสิทธิ์สื่อ และสปอนเซอร์ชิป 

แม้จะเผชิญความท้าทาย เช่น ความนิยมที่ลดลงของผู้ชมทีวีแบบดั้งเดิมและการแข่งขันจาก mixed martial arts แต่มวยปล้ำยังคงรักษาความโดดเด่นในยุคดิจิทัล เช่น การใช้ YouTube ซึ่ง WWE มียอดผู้ชมกว่า 90.75 พันล้านวิวในปี 2024 สูงที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก 

Editorial credit: max blain / Shutterstock.com

Netflix คิดอย่างไร

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2025 รายการหลักของ WWE อย่าง Monday Night Raw ได้เปิดตัวครั้งประวัติศาสตร์บน Netflix ถือเป็นบทใหม่ในประวัติศาสตร์วงการมวยปล้ำอาชีพ ครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่รายการไอคอนิกนี้ก้าวออกจากทีวีแบบดั้งเดิม มาสู่แพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลก มูลค่าดีล 10 ปีที่ 5 พันล้านดอลลาร์

การเคลื่อนไหวนี้แสดงถึงการก้าวเชิงกลยุทธ์ของ WWE ในขณะที่ผู้ชมทีวีแบบดั้งเดิมลดลง ด้วยฐานสมาชิกทั่วโลกถึง 283 ล้านคน Netflix เปิดโอกาสให้ WWE เข้าถึงผู้ชมในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน สอดคล้องกับเป้าหมายของ WWE ในการเข้าถึงผู้ชมรุ่นใหม่ที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี และชื่นชอบความยืดหยุ่นของการสตรีมมากกว่าการดูโทรทัศน์ตามตารางเวลา

ความร่วมมือของ Netflix กับ WWE อาจเป็นแม่แบบสำหรับกีฬาและความบันเทิงอื่นๆ ที่จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การไลฟ์สตรีมมากขึ้น

“WWE Raw คือสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเข้ากันได้อย่างลงตัวกับคอนเทนต์กีฬาของเรา ที่เน้นเรื่องราวดราม่าในกีฬา” Ted Sarandos ซีอีโอร่วมของ Netflix พูดถึงเหตุผลว่าทำไม Netflix ถึงเลือกมวยปล้ำ

Netflix เคยประสบความสำเร็จอย่างมากกับสารคดีแนวกีฬา เช่น ‘Formula 1: Drive to Survive’ และ ‘Quarterback’ Sarandos ยังพูดถึง WWE ว่าเป็นอีกก้าวที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน

Sarandos เน้นย้ำว่า Netflix โฟกัสที่ ‘Sports storytelling’ ซึ่งตัวการแข่งขันเองก็คือการเล่าเรื่องของ WWE นี่จึงเป็นสูตรสำเร็จที่พิสูจน์มาแล้ว 

Brandon Riegg รองประธานฝ่ายซีรีส์สารคดีและกีฬาของ Netflix ผู้เป็นหัวเรือหลักในการปิดดีลนี้ระบุว่า “WWE รู้ว่าช่วงเวลานี้เหมาะสมที่จะนำ Raw สู่ตลาดใหม่” พร้อมเสริมว่า Nick Khan ประธาน WWE ได้มอง Netflix เป็นพาร์ทเนอร์ที่เหมาะสมมาหลายปีก่อนที่จะเริ่มพูดคุย

แม้จะมีการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการระหว่างทั้งสองฝ่ายมาก่อน แต่ในตอนนั้น Netflix ยังไม่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับเนื้อหาไลฟ์และไม่พิจารณาคอนเทนต์ประเภทนี้อย่างจริงจัง อีกทั้งยังมีอุปสรรคในเรื่องสิทธิ์การเผยแพร่รายการ WWE ในต่างประเทศที่ถูกกระจายไปตามข้อตกลงที่หลากหลาย 

“ผมบอกนิคว่า การมีสิทธิ์กระจัดกระจายแบบนี้ทำให้การจัดการยาก” Riegg เล่า ซึ่ง Khan นำข้อเสนอนี้ไปปรับปรุงข้อตกลงในหลายประเทศเพื่อให้สิทธิ์ต่างๆ พร้อมต่อการเจรจาใหม่

กระทั่งเมื่อปลายปี 2023 WWE ติดต่อไปยัง  Bela Bajaria หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านเนื้อหาของ Netflix ไม่นานนัก Riegg ก็เข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนา และดีลก็สำเร็จลงภายในไม่กี่สัปดาห์

Editorial credit: Bjoern Deutschmann / Shutterstock.com

สำหรับ Netflix ลักษณะเฉพาะของ WWE ซึ่งไม่ใช่แค่กีฬาแต่ยังเป็นความบันเทิงนั้น ใกล้เคียงกับซีรีส์หรือรายการที่ Netflix ถนัด “มันเหมือนละครหรือซีรีส์ที่มีตัวละครและเนื้อเรื่องที่ต่อเนื่อง” Riegg กล่าว พร้อมเสริมว่าความสม่ำเสมอของเนื้อหาทำให้ WWE Raw มีคุณค่าในแบบที่หายากในอุตสาหกรรม

แม้ Netflix จะขยายไปสู่การถ่ายทอดสดและกีฬา แต่ก็ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับเนื้อหาที่ไม่ได้เป็นเจ้าของ

“ความท้าทายของลีกกีฬา หรือทรัพย์สินทางปัญญาที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของ คือเมื่อคุณช่วยพัฒนาไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เมื่อหมดสัญญา อาจมีความเสี่ยงที่พาร์ทเนอร์รายอื่นจะเข้ามารับช่วงต่อ” Riegg อธิบาย “ต่างจากซีรีส์ที่เราผลิตเองที่จะอยู่ใน Netflix ตลอดไป”

ความแข็งแกร่งของแบรนด์ WWE และระยะเวลาของข้อตกลงสร้างความมั่นใจให้ Netflix แม้ดีลนี้จะมีมูลค่ามหาศาล แต่ Netflix มองว่าเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผล

“งบคอนเทนต์ประจำปีของเรามีขนาดใหญ่ สิ่งที่เราลงทุนใน WWE คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กมาก” Riegg บอก “คุณจะได้รับคอนเทนต์ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวม 52 สัปดาห์ต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ใหญ่ๆ ที่เราลงทุนในแต่ละไตรมาส มันเทียบเคียงได้”

สำหรับแฟนมวยปล้ำ การย้ายมาที่ Netflix จะไม่เปลี่ยนโฉมหน้าของ Raw ไปอย่างสิ้นเชิง Riegg ยืนยันว่า Raw จะยังคงเป็นแบรนด์สำหรับครอบครัว และจะรักษาเรต PG ไว้ตามความตั้งใจของ WWE

นอกจาก Raw แล้ว คอนเทนต์ในคลังของ WWE ก็จะทยอยเข้าสู่แพลตฟอร์ม Netflix การย้ายมาที่ Netflix ยังเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาในหลายด้าน เช่น การนำเสนอเนื้อหาใหม่ๆ รอบตัว WWE การสร้างซีรีส์สารคดี หรือแม้แต่การช่วยผลักดันนักมวยปล้ำที่มีศักยภาพให้ก้าวสู่การเป็นดาราภาพยนตร์ 

ไม่เพียงแต่จะขยายฐานแฟนคลับ WWE แต่ดีลนี้ยังทำให้ Netflix ได้ทดสอบศักยภาพในคอนเทนต์สดและสำรวจความเป็นไปได้ในการนำกีฬาและความบันเทิงมาผสมผสานในอนาคต

ที่มา:

www.nytimes.com/athletic

www.verifiedmarketresearch.com

www.sportspro.com

www.blackflix.com

bleacherreport.com

www.sportspro.com

www.pwmania.com

www.thestreet.com

 


  •  
  •  
  •  
  •  
  •