ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีวิ่งเร็วจนแทบจะหายใจรดต้นคอ จากโทรศัพท์มือถือเครื่องใหญ่เทอะทะในวันก่อน กลายมาเป็นสมาร์ทโฟนบางเฉียบในวันนี้ แต่ดูเหมือนว่าพรมแดนต่อไปของวงการเทคโนโลยีที่กำลังจะพาเราข้ามไปสู่ยุคใหม่ กลับไม่ได้อยู่ในมือของเราอีกแล้ว แต่อยู่บนใบหน้าของเรานี่เอง เมื่อ Meta เปิดตัว “แว่นตาอัจฉริยะ” ที่ผสานดีไซน์ได้อย่างลงตัว
หลายปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องแว่นตาไฮเทคอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝันในหนังไซไฟ หรือเป็นของเล่นราคาแพงสำหรับคนเฉพาะกลุ่ม แถมยังเข็นให้เกิดยากกว่าสมาร์ทโฟนที่มี AI ในตัว แต่การมาถึงของแว่นตาอัจฉริยะ “Ray-Ban Meta” รุ่นล่าสุด ได้ส่งสัญญาณลว่า อนาคตที่ว่านั้นได้เดินทางมาถึงปัจจุบันแล้ว และมันกำลังจะเปลี่ยนวิธีที่เรามองเห็นและปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวไปอย่างสิ้นเชิง
แว่นตาที่ “เห็น” และ “เข้าใจ” โลก
ลองจินตนาการดูว่า เรากำลังเดินเที่ยวอยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย แทนที่จะต้องก้มหน้าก้มตามองแผนที่ในมือถือ แต่เพียงแค่เหลือบมองไปที่มุมสายตา ก็มีลูกศรนำทางปรากฏขึ้นบนเลนส์แว่น ชี้ทางไปยังร้านกาแฟที่อยากไป หรือขณะที่กำลังทำอาหารก็สามารถมองเห็นสูตรอาหารลอยอยู่ตรงหน้าได้ โดยไม่ต้องแตะต้องหน้าจอใดๆ นี่คือสิ่งที่แว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ โดยเฉพาะรุ่นที่มีจอแสดงผลในตัว (In-built Display) กำลังทำให้เป็นจริง
หัวใจสำคัญของแว่นตานี้ไม่ใช่แค่กล้องหรือลำโพงที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนในกรอบแว่นสไตล์ Ray-Ban ที่เราคุ้นเคย แต่เป็นระบบ Meta AI ที่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะพร้อมจะตอบสนองต่อทุกคำสั่งเสียง เช่น
- Hey Meta: แค่พูด “Hey Meta” ก็สามารถเริ่มสั่งการได้แทบทุกอย่าง รวมถึงช่วยคิดแคปชันรูปภาพ โดยที่ไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา
- บันทึกมุมมอง: ด้วยกล้องความละเอียดสูงที่ถูกติดตั้งมา ช่วยสร้างการบันทึกความทรงจำ โดยจะเป็นภาพจากมุมมองผู้ใช้งาน ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
- เสียงที่คมชัดไม่สะดุด: ด้วยลำโพงแบบ Open-Ear ที่ออกแบบมาให้สามารถฟังเพลงหรือคุยโทรศัพท์ได้อย่างชัดเจน โดยที่ยังได้ยินเสียงสภาพแวดล้อมรอบตัวอยู่ นอกจากนี้ยังช่วยตัดเสียงรบกวนได้ดี ทำให้การสื่อสารคมชัด แม้จะอยู่ในที่ที่มีเสียงดังก็ตาม
นอกเหนือจากรุ่นพื้นฐานแล้ว Meta ยังได้เปิดตัวรุ่นสำหรับนักกีฬาในชื่อ “Oakley Meta Vanguard” ที่เน้นความทนทาน กันน้ำ กันเหงื่อ แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น และสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันออกกำลังกายอย่าง Garmin หรือ Strava เพื่อแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้อีกด้วย นี่คือการบ่งบอกว่าแว่นตาอัจฉริยะไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับคนรักเทคโนโลยีเท่านั้น แต่กำลังขยายไปสู่ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมากขึ้น
อุปกรณ์ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
การมาถึงของแว่นตา AI ไม่ใช่แค่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่มันคือการเดิมพันครั้งใหญ่ต่ออนาคตของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับคอมพิวเตอร์ มันคือการค่อยๆ ลดบทบาทของหน้าจอสมาร์ทโฟน และเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของ Wearable Technology ที่ข้อมูลดิจิทัลจะถูกผสานเข้ากับการรับรู้ของเราอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการผสานโลกจริงและโลกดิจิทัล (Augmented Reality – AR) โดยแว่นตารุ่นที่มีจอแสดงผลในตัวเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในเส้นทางสู่เทคโนโลยี AR เต็มรูปแบบ ช่วยให้เห็นข้อมูลดิจิทัลซ้อนทับอยู่บนโลกจริงได้อย่างแนบเนียนมากขึ้น ลองนึกภาพเมื่อมองไปที่เครื่องยนต์แล้วเห็นขั้นตอนการซ่อมแซมแสดงขึ้นมาเป็นภาพสามมิติ โดยเฉพาะการทำงานในสายอาชีพเฉพาะทางที่ต้องการความแม่นยำสูง
ขณะที่ในชีวิตประจำวัน การสื่อสารผ่านวิดีโอคอลด้วยแว่นตาจะให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะคู่สนทนาจะเห็นภาพจากมุมมองสายตาจริง ไม่ใช่จากกล้องปกติ ในอนาคต เทคโนโลยีนี้อาจผสานเข้ากับแพลตฟอร์ม Metaverse ทำให้รู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับอวตารของเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงหน้าจริงๆ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาจะลดน้อยลง แอปพลิเคชันและบริการต่างๆ จะปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งานแบบ Hands-Free มากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคครั้งใหญ่อีกครั้ง
ความท้าทายที่เทคโนโลยีต้องก้าวข้าม
ทุกเทคโนโลยีใหม่ย่อมมาพร้อมกับคำถามและความกังวลใจ แว่นตาอัจฉริยะก็เช่นกัน หนึ่งในประเด็นสำคัญคือเรื่องความเป็นส่วนตัว (Privacy) ที่แม้ทุกวันนี้สมาร์ทโฟนก็ยังถูกตั้งคำถาม การมีกล้องที่พร้อมจะบันทึกภาพได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดความกังวลถึงเส้นแบ่งระหว่างการบันทึกความทรงจำส่วนตัวกับการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น แม้จะมีไฟ LED เพื่อแจ้งเตือนการบันทึกภาพ แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่หลายคนต้องใช้เวลาปรับตัวและสร้างบรรทัดฐานร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องการยอมรับทางสังคม (Social Acceptance) ซึ่งการสวมใส่อุปกรณ์ที่มีกล้องบนใบหน้าอาจทำให้คนรอบข้างระแวงรู้สึกไม่สบายใจในช่วงแรก รวมถึงความกังวลว่าผู้ใช้งานอาจจะจมอยู่กับข้อมูลดิจิทัลที่ปรากฏบนเลนส์แว่น จนละเลยการใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Inattentional Blindness” หรือการตาบอดจากการไม่ใส่ใจ
แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะยังเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งในเชิงเทคนิคที่ต้องพัฒนาแบตเตอรี่และหน่วยประมวลผลให้ดีขึ้น และในเชิงสังคมที่ต้องสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจ แต่ทิศทางที่เทคโนโลยีก็กำลังมุ่งไปทางนั้นอย่างชัดเจน อนาคตการเข้าถึงข้อมูลมหาศาลได้เพียงแค่กระพริบตา หรือการสั่งให้ AI จัดการเรื่องต่างๆ ได้ด้วยเสียง จะกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตเหมือนการสแกนจ่ายเงิน
นั่นทำให้แว่นตาอัจฉริยะของ Meta ไม่ใช่แค่แว่นตาที่ถ่ายรูปหรือฟังเพลงได้ แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างความเป็นจริงกับโลกดิจิทัล มันคือการเดินทางที่น่าตื่นเต้น ที่จะพาเราทุกคนไปสู่โลกที่เส้นแบ่งระหว่างความเป็นจริงและดิจิทัลเริ่มต้นขึ้นแล้ว
Source: CNN