
คุณกานติมาเริ่มต้นด้วยการฉายภาพความท้าทายในยุค Digital Transformation เพื่อชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลง ที่หลายคนรู้จัก “Transformation” แต่กลับมีน้อยคนที่จะเข้าใจถึงวิธีการรอรับการ Transformation อย่างแท้จริง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ AIS ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผ่านการลองผิดลองถูกและล้มลุกคลุกคลานจนสามารถก้าวข้ามผ่านมาได้
“ขนาดเราอยู่ในองค์กรเทคโนโลยีเองที่ต้องปรับตัวให้ไว การพัฒนาคนก็ยังคงเป็นเรื่องที่ใหม่และหนักหนาสาหัสมาก เพราะส่วนใหญ่ทุกคนมักจะเห็นภาพและพูดถึงผลลัพธ์ แต่ระหว่างทางที่จะไปให้ถึงผลลัพธ์นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย” คุณกานติมาเล่าให้ฟัง
จุดเปลี่ยนสำคัญที่เร่งให้ทั้งประเทศไทยต้องปรับตัวอย่างกะทันหันคือการมาถึงของ COVID-19 ที่บังคับให้ทุกคนต้องปรับตัวและกระโจนเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าทุกคนจะปรับตัวให้รับการเปลี่ยนแปลง แต่ในช่วงเวลานั้นการทำงานทางออนไลน์ส่วนใหญ่เป็นเพียงการประชุมออนไลน์ ไม่ใช่การทำงานที่เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง และยังพบข้อจำกัดในการเข้าถึงองค์ความรู้ของผู้คนจำนวนมาก
ยิ่งเมื่ออีกหนึ่งความท้าทายด้านโครงสร้างประชากรปรากฎขึ้น เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงวัย (Aging Society)” อย่างเต็มตัว เรื่องของ “คน” จึงยิ่งซับซ้อนมากขึ้น คนกลุ่มหนึ่งอาจมีความพร้อมปรับตัวเพื่อก้าวไปข้างหน้ารับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่พร้อมปรับตัวหรือไม่กล้าเปลี่ยนแปลงและอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้คนไทยเตรียมความพร้อมและก้าวต่อไปอย่างมีคุณภาพในโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สร้างกรอบความคิดสู่การปรับตัว

สิ่งที่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนมากที่สุดคือเรื่องของเทคโนโลยี แต่ในความเป็นจริงทักษะที่จำเป็นมากที่สุดสำหรับคนไทยในยุคนี้ คือการปรับตัวโดยที่ยังคงตัวตนเดิมของแต่ละคน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการไล่ตามทักษะทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“ทักษะแรกที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างกรอบความคิด (Mindset) ถ้าเราไม่กระตุกให้คิด ไม่ถูกเตือน หรือเพลิดเพลินไปกับชีวิตประจำวัน เราจะไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องเติมความรู้เรื่องอะไร คนเรามักจะรู้เรื่องรอบตัวดี แต่สิ่งที่เราไม่ค่อยได้ทำความเข้าใจคือตัวเราเอง โครงการ Academy for THAIs จึงมีเป้าหมายในการกระตุกความคิด เมื่อคนเราเกิดความหิวในความรู้ เขาจะเริ่มแสวงหาคำตอบให้ชีวิตตัวเอง” คุณกานติมาอธิบาย
ทักษะต่อมาที่ควรจะต้องมีคือ ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) เพราะในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นถี่ขึ้น เร็วขึ้น และแรงขึ้น การเรียนรู้ทักษะเฉพาะทางในวันนี้อาจล้าสมัยในวันพรุ่งนี้ เปรียบเสมือนกับการที่ต้องออกกำลังกายให้ร่างกายฟิตพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์
“เรามักจะเจอและชินกับฉันเคยทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่ใน AIS เอง ความสำเร็จในอดีตที่เป็นเรื่องน่าภูมิใจยังคงได้รับการพูดถึงอยู่เสมอ แต่มันไม่ใช่คำตอบสำหรับอนาคต ดังนั้นกรอบความคิดที่เปิดกว้างพร้อมกับความสามารถในการปรับตัว คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนอยู่รอดและเติบโตได้” คุณกานติมาเสริม
สร้างความรู้ผ่านเทคโนโลยีรอบตัว

ในฐานะองค์กรเทคโนโลยี ปัจจัยสำคัญที่จะเสริมสร้างศักยภาพให้คน ไม่ใช่การผลักดันให้ทุกคนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่คือการนำเทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัว สามารถจับต้องได้ ใช้งานอยู่จนชินในชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการต่อยอดสู่การสร้างรายได้
“เวลาเราพูดถึง AI Digital หรือ Technology คนมักจะนึกถึงภาพที่เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ยากมากที่จะเข้าถึงและไกลตัวเกินไป แต่เราอยากจะให้เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัว ทำให้คนเห็นว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วในมือ เช่น โทรศัพท์มือถือ สามารถเสริมศักยภาพและสร้างอาชีพได้อย่างไร ไม่ต้องไปใช้เทคโนโลยีราคาแพง แค่มือถือเครื่องเดียวก็สามารถลุกขึ้นมาเป็น Influencer หรือทำช่อง YouTube เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตได้” คุณกานติมา อธิบาย
นอกจากจะช่วยให้สังคมสามารถพัฒนาตัวเองผ่านเทคโนโลยีที่อยู่รอบตัวแล้ว ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนองค์กร AIS สู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ (Cognitive Telco) ที่ไม่ใช่แค่การมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่คือการมีบุคลากรที่สามารถนำเทคโนโลยีนั้นมาสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้าและสังคมได้
ภารกิจคิดเผื่อสู่การยกระดับคนไทยทุกคน

AIS ไม่ได้มองการพัฒนาบุคลากรเป็นเพียงเรื่องภายในองค์กร แต่เชื่อมโยงการเติบโตของบริษัทเข้ากับการเติบโตของสังคมไทยอย่างแยกไม่ออก เมื่อสังคมเติบโตบริษัทก็จะเติบโตตามไปด้วยภายใต้ปรัชญา “ภารกิจคิดเผื่อ”
“เรามี Commitment ที่ชัดเจนว่า อะไรก็ตามที่เราทำ ถ้าเรามีความรู้หรือมีความสามารถ เราจะคิดเผื่อเสมอว่าคนข้างนอกจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร เพราะเราเชื่อมั่นว่าหากสังคมโตไม่ได้ AIS ก็โตไม่ได้เช่นเดียวกัน บริษัทจะเติบโตอย่างยั่งยืนไม่ได้เลยถ้าสังคมรอบข้างไม่แข็งแรง มันคือการเติบโตไปด้วยกัน” คุณกานติมากล่าว
นั่นทำให้ AIS Academy for THAIs ดำเนินงานอยู่ภายใต้ 2 แกนหลัก ประกอบไปด้วย
- การพัฒนาคนในองค์กร: โดยหน่วยงาน AIS Academy ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ของคนในองค์กร จากการเป็นฝ่ายฝึกอบรมแบบเดิมๆ ไปสู่การสร้างเส้นทางการเรียนรู้ (Learning Journey) ที่เชื่อมโยงกับการเติบโตของพนักงานในทุกมิติ
- การคืนสู่สังคม: จากหน่วยงาน AIS Academy มีการพัฒนาการเรียนรู้ผ่านโครงการ AIS Academy for THAIs ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนได้เข้าถึงองค์ความรู้ เพื่อให้สังคมโดยรวมมีคุณภาพและแข็งแรงขึ้น ภายใต้ความเชื่อว่า ปัญหาหลายอย่างในประเทศเกิดจากการที่คนขาดองค์ความรู้ และถ้าคนมีความรู้ สังคมก็จะเข้มแข็งขึ้น ปัญหาต่างๆ จะลดน้อยลง
จาก AIS Academy สู่ Academy for THAIs

สำหรับทิศทางในอนาคต AIS Academy จะยังคงยึดมั่นในหลักการเดิมคือ การตอบสนองต่อความต้องการและปัญหาของสังคมในช่วงเวลานั้นๆ ตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นโดยไม่มีแผนงานที่ตายตัว แต่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบและเนื้อหาให้สอดคล้องกับความท้าทายที่เกิดขึ้น
“เราจะไม่ได้ดื้อดึงที่จะทำในเรื่องที่เราอยากทำโดยไม่สนว่าจะตอบโจทย์สังคมหรือไม่ ถ้าความเปลี่ยนแปลงมันกระแทกเร็วและแรงขึ้น เราก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาจัดงานให้ถี่ขึ้นเท่าที่กำลังของเราจะทำได้ เพราะสิ่งนี้เราทำด้วยใจและมีพันธะสัญญากับสังคม” คุณกานติมา ชี้แจง
สำหรับในปีนี้ AIS ได้ผนึกกำลังกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง The Cloud, Super Jiew และ Central ในการจัดงาน Life Fest เพื่อสร้างปรากฏการณ์และแรงกระเพื่อมที่ทรงพลังมากกว่าการดำเนินการเพียงลำพังบริษัทเดียว โดยมุ่งเป้าไปที่โจทย์ใหญ่ของประเทศคือ สังคมผู้สูงวัย
9 ปีแห่งการสร้างความเปลี่ยนแปลง

จุดเริ่มต้นของโครงการ Academy for THAIs เกิดขึ้นจากความตระหนักว่า คนที่ไม่มีสังกัด เช่น ชาวบ้าน ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ มีความยากลำบากอย่างมากในการเข้าถึงองค์ความรู้ นั่นจึงทำให้ AIS อยากลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในการลดช่องว่างตรงนี้ และนำองค์ความรู้ที่สำคัญสู่ผูคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม
“โดยงานครั้งแรกจัดขึ้นที่เมืองทองธานีเมื่อ 8-9 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นภาพสะท้อนความต้องการของสังคมได้อย่างชัดเจน มีผู้คนมารอเข้าร่วมงานตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง และผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คนแน่นขนัดจนต้องเสริมเก้าอี้หน้าห้อง ที่สำคัญคือ ทุกคนอยู่ร่วมกิจกรรมฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า คนไทยต้องการองค์ความรู้มาก แต่แค่ไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหน” คุณกานติมาเล่าให้ฟัง
หลังจากนั้น AIS Academy for THAIs ได้ขยายไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ภายใต้แนวคิด “ประเทศไทยไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ” และเพื่อให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง จึงมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการฯ สู่โลกออนไลน์ในช่วง COVID-19 จนถึงปัจจุบัน โดยมีผู้คนมากกว่าแสนรายที่เข้ามาอยู่ในเครือข่ายการเรียนรู้นี้ โดย AIS มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เพื่อเข้าถึงคนในระดับรากหญ้า
“เราไม่ได้เชื่อในการให้เงินแล้วจบ เพราะเป็นการให้ระยะสั้น แต่เรายึดมั่นในแนวทางการสอนให้คนจับปลา คือให้ความรู้เพื่อให้เขาสามารถยืนหยัดและดูแลตัวเองต่อไปได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระทางสังคมในระยะยาว” คุณกานติมาอธิบาย
Life Fest 40+ วัยอิสระอย่างมีคุณภาพ

สำหรับงานในปีนี้ที่ร่วมกับ Life Fest จะมุ่งเน้นเจาะไปที่กลุ่มคนวัย 40+ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่สำคัญในการวางแผนชีวิต เพื่อเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ หรือเตรียมพร้อมทักษะใหม่ๆ หากยังต้องการทำงานต่อไป เนื่องจากในปัจจุบันเมื่อสังคมเข้าสู่ผู้สูงวัย ระยะเวลาเฏษียณก็ยาวขึ้น โครงการฯ นี้จึงตั้งเป้าเพื่อให้คนกลุ่มเหล่านี้สามารถมีศักยภาพในการทำงานภายใต้การเปลี่ยนแปลง
“เราอยากจะกระตุกความคิดให้คนเริ่มมี Awareness ตั้งแต่อายุ 40 เพราะคนมักจะมารู้ตัวตอนที่อาจจะสายเกินไป ทุกวันนี้การแพทย์ดีขึ้น คนอายุยืนขึ้น แต่ถ้ายืนยาวไปโดยไม่มีเงินหรือไม่รู้วิธีครองชีพ มันจะกลายความท้าทายครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา” คุณกานติมาเสริม
เนื้อหาในงานจึงถูกออกแบบมาให้เป็นเรื่องที่สามารถจับต้องได้และนำไปใช้ได้จริง ไม่เน้นทฤษฎีหนักๆ แต่เป็นความรู้รอบด้านสำหรับการใช้ชีวิต เช่น การแก้หนี้, การดูแลสุขภาพ, การจัดที่อยู่อาศัย ไปจนถึงการป้องกันภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการป้องกันภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญคือ “Hackathon” ภายใต้โครงการ “Jump Thailand” ที่เปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้พิการ เป็นการเชื่อมต่อช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) และนำศักยภาพของคนรุ่นใหม่มาสร้างประโยชน์ให้สังคมและเข้าถึงผู้สูงวัยมากขึ้น
“บทเรียนสำคัญตลอด 9 ปีที่ผ่านมาคือ ทุกการพัฒนามันแบ่งออกเป็น 50% แรกคือโอกาสในการเข้าถึง ซึ่ง AIS พยายามสร้างและขยายให้มากที่สุด แต่ที่เหลืออีก 50% ที่ไม่มีใครช่วยได้ คือ ความรับผิดชอบของแต่ละคนในการพัฒนาตัวเอง ถ้า 50% หลังนี้ไม่เกิดขึ้น 50% แรกก็จะไม่มีความหมาย ดังนั้นถ้าไม่กระตุกความคิดเพื่อให้รับการเปลี่ยนแปลง โครงการต่างๆ ก็จะสูญเปล่า” คุณกานติมากล่าวทิ้งท้าย

การเดินทางของ AIS Academy for THAIs คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดคือการลงทุนใน “คน” เพราะเมื่อคนแข็งแรง สังคมแข็งแรง องค์กรและประเทศชาติก็จะสามารถเติบโตต่อไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืนอย่างแท้จริง

