เจาะโครงการ “ปัญญาไท” ของ Google Cloud สู่การวางรากฐานเศรษฐกิจ AI Economy

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เมื่อเทคโนโลยีอย่าง AI กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือหลักและเป็นเครื่องมือสำคัญของธุรกิจ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสมรภูมิรบและกุญแจสู่การสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ (Strategic Advantage) หลายองค์กรทั่วโลกเริ่มเห็นผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่จับต้องได้จากการใช้ AI แต่สำหรับประเทศไทยกลับพบความท้าทายที่สำคัญว่า อะไรคือผลที่วัดได้จากการใช้ AI กับธุรกิจไทย

นั่นคือที่มาของโครงการระดับชาติที่ Google Cloud ใช้ชื่อว่า “ปัญญาไท (PanyaThAI)” ไม่ใช่การที่ Google Cloud เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่เป็นการวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อนำพาองค์กรไทยให้ก้าวข้ามความสับสน และสร้างเศรษฐกิจ AI (AI Economy) ด้วยตัวเลขมูลค่ากว่า 730,000 ล้านบาท ที่คาดการณ์ว่าจะถูกสร้างขึ้นในประเทศไทย

 

3 แกนหลักสร้างรากฐาน AI Economy

การจะเข้าถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลที่ AI สร้างขึ้นได้นั้น Google Cloud มองว่า จะทำให้เกิดขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบหลัก 3 กลยุทธ์สำคัญที่เป็นหัวใจในการพัฒนาองค์กรธุรกิจให้แข็งแกร่ง โดยกลยุทธ์ทั้ง 3 ด้าน จะเป็นเสมือนรากฐานของ AI Economy ในประเทศไทยต่อไปในอนาคต ประกอบไปด้วย

  • การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Investment)

หัวใจสำคัญของการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้กับธุรกิจ คือ ความรวดเร็วและความมั่นคงปลอดภัย รวมไปถคงการประมวลผลของ AI ต้องมีความรวดเร็วและต้องมีระยะเวลาหน่วงต่ำ (Low Latency) จึงเริ่มต้นกลยุทธ์แรกด้วยการที่ Google ประกาศลงทุน Data Center ในประเทศไทยกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

การที่มี Data Center ตั้งอยู่ในประเทศไทยโดยตรง ทำให้การเข้าถึงระบบ AI และบริการคลาวด์มีความหน่วงต่ำลงอย่างมาก ช่วยสร้างประสบการณ์แบบเรียลไทม์ (Real-Time Experience) และช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ Data Center ในประเทศไทยยังเป็นส่วนหนึ่งในโครงข่ายเชื่อมโยงข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในฮับ (Hub) สำคัญด้าน AI และ Data Center ของภูมิภาค

  • การพัฒนาบุคลากร (People Development)

เทคโนโลยีจะไร้ความหมายหากขาดผู้ใช้งานที่เข้าใจและใช้เป็น ความเข้าใจเดิมที่มองว่า AI เป็นเรื่องของฝ่ายไอทีเท่านั้นต้องเปลี่ยนไป เพราะในปัจจุบัน AI คือเครื่องมือของทุกคนในองค์กร Google Cloud จึงได้ลงทุนใน 3 โครงการหลักเพื่อยกระดับความรู้ อย่าง Sai Yot GCP & AI Certification ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะเชิงเทคนิค และมอบใบรับรองความรู้ด้าน AI เพื่อสร้างมาตรฐานให้กับบุคลากร

โครงการ Google Skill แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีคลาสเรียนกว่า 3,000 คลาสที่เกี่ยวข้องกับ AI, DeepMind, เทคโนโลยี และธุรกิจ ซึ่งเปิดโอกาสให้คนไทยได้เข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โครงการนี้จะเป็นการสร้าง AI Literacy หรือความรู้พื้นฐานด้าน AI ให้กับบุคลากรทุกภาคส่วน

  • โครงการเรือธง “ปัญญาไท” (PanyaThAI Flagship Projects)

เมื่อมีโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการสร้าง Showcase หรือต้นแบบธุรกิจที่สามารถวัดผลความสำเร็จได้ เพื่อให้ธุรกิจอื่นได้เห็นภาพการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพได้ชัดเจน โดยในโครงการปัญญาไทมีธุรกิจที่เข้าร่วมเป็น Pilot Business กว่า 15 แห่ง จากหลากหลายอุตสาหกรรมทั้งการเงิน, ค้าปลีก, การผลิต, การศึกษาเข้ามาเป็นผู้บุกเบิกโครงการฯ

สำหรับชื่อโครงการ “ปัญญาไท” เป็นการสร้างสรรค์โดย AI หรือ Gemini ที่สื่อถึงการนำ AI มาใช้ในบริบทและของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายในการสร้าง Agentic AI ระดับองค์กร ที่สามารถปฏิบัติการได้เอง สำหรับในระดับโลกบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจังนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลาเพียง 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลาเพียง 8 เดือน

โดยผลตอบแทนดังกล่าวไม่ได้มาในรูปแบบของเม็ดเงินหรือผลกำไร ซึ่งเป็นผลตอบแทนโดยตรง แต่เป็นผลตอบแทนที่ได้ทางอ้อม ทั้งการลดต้นทุน การลด Waste รวมไปถึงการใช้ AI ในงานที่ต้องเสียเวลา และให้พนักงานเหล่านั้นไปพัฒนา Productivity ด้านอื่น

เจาะลึก “ปัญญาไท” แผนดำเนินการสู่ความสำเร็จ

ผลการวิจัยจาก Public First พบว่า หากองค์กรท้องถิ่นสามารถนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ราว 730,000 ล้านบาท ภายในปี 2030 โดยงานวิจัยยังระบุอีกว่า ประเทศไทยมี 3 อุปสรรคหลักที่จำกัดองค์กรหลายแห่งจากการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ

  • การทำให้โซลูชัน AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
  • การขาดแหล่งข้อมูลที่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI
  • การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการจัดการข้อมูลและ AI อย่างเหมาะสม

นั่นคือที่มาของโครงการ “ปัญญาไท” ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การใช้ AI เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเท่านั้น แต่เน้นไปที่การสร้างผลตอบแทนที่สูงและคืนทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น ถือเป็นหัวใจสำคัญคือการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งเพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ภายใต้ 5 ขั้นตอนหลัก

  • การวางแผน AI (AI Planning) ด้วยการกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน
  • การสร้าง Use Case และ Solution โดยร่วมกันพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์โดยเฉพาะ
  • การใช้งานจริง (Deployment) นำไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
  • รับผิดชอบต่อการใช้ AI (Responsible AI) อย่างมีจริยธรรม
  • การวัดผล (Measurable Results) ด้วยการวัดผลกระทบต่อธุรกิจอย่างจริงจัง นอกจากเรื่องของ ROI เช่น ต้นทุนที่ลดลง, ระยะเวลาที่ลดลง

 

กรณีศึกษาการใช้ AI ที่สามารถเห็นผลได้

โครงการ “ปัญญาไท” ไม่ได้เน้นที่ธุรกิจประเภทใดประเภทหนึ่ง แต่ครอบคลุมทุกธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อชี้ให้เห็นว่า การนำ AI ไปแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ด้านการตลาดและ Supply Chain สามารถทำได้จริงและมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจอย่าง Thai Wacoal ที่ได้นำเทคโนโลยี Creative Agent ผสาน Virtual Try-On (VTO) ของ Google Cloud มาปรับใช้กับธุรกิจ ด้วยการใช้ Creative Agent ช่วยให้ Thai Wacoal สามารถแก้ปัญหาด้านการถ่ายภาพสินค้าและภาพกราฟิก ทำให้กระบวนการเร็วขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการเปลี่ยนสีผลิตภัณฑ์

นำไปสู่ความสามารถในการสร้างสรรค์รูปแบบการผลิตที่หลากหลาย หรือการสั่งผลิตแบบ Made-to-Order ที่เชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าเข้ากับการผลิตได้โดยตรง เป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ผ่านความสมจริงเชิงดิจิทัลและการปรับแต่งสินค้าให้เข้าถึงความต้องการแบบเฉพาะบุคคล (Personalization)

ด้าน TISCO Bank ได้วางกลยุทธ์การใช้ AI โดยเริ่มต้นการใช้ AI ในรูปแบบของ “Agent Coach” ภายใน เพื่อให้ AI สกัด “DNA” ของพนักงานที่เก่งกาจ เพื่อเก็บความรู้เหล่านั้นไว้ในองค์กร และถ่ายทอดให้พนักงานรุ่นใหม่ รวมถึงการนำ AI เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) และลดภาระงานซ้ำซ้อน (Automation) ไม่ได้มุ่งเน้นการทดแทนคน

ขณะที่ฝั่ง Accenture ได้สรุปปัญหาการใช้ AI ในไทยไว้ 3 ประเด็นสำคัญ ทั้ง

  • อย่าพยายามนำ AI มาแทนที่ 100%: หลายธุรกิจมักคาดหวังว่า AI จะทำได้สมบูรณ์แบบเหมือนคน แต่ความเป็นจริงคือ AI อาจทำได้แค่ 80% และส่วนที่เหลือ 20% คือบทบาทของมนุษย์ที่จะต้องเข้ามาดูแล
  • AI เป็นเรื่องของทุกคนไม่ใช่แค่ IT: นั่นเพราะทีม IT ไม่สามารถรู้ความต้องการเฉพาะเจาะจงของแต่ละแผนก การใช้ AI ต้องมาจากความต้องการมาของหน่วยงานที่เห็นปัญหาของตนเอง
  • พลังขับเคลื่อนต้องชนะความเฉื่อย (The Drive Equation): ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ แรงขับเคลื่อน (Drive) ต้องมากกว่าแรงต้าน (Resistance) ที่เกิดจากการเสียผลประโยชน์หรือความไม่คุ้นชิน

สิ่งสำคัญที่สุด แรงขับเคลื่อนหลักด้าน AI ควรมาจากระดับ CEO ซึ่งจะช่วยให้การกำหนดเป้าหมายและ KPI ชัดเจนขึ้น และทำให้พนักงานเกิด Mindset ที่ยอมรับและใช้ AI ได้อย่างเต็มที่

โครงการ “ปัญญาไท” เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีระดับโลกและวิถีการทำงานแบบไทยๆ ที่ออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงในการลองผิดลองถูก และสร้างสูตรสำเร็จที่ทำซ้ำได้ (Replicable Success) สำหรับองค์กรธุรกิจไทย นี่คือสัญญาณที่ต้องเร่งสร้างรากฐานด้านบุคลากร การปรับเปลี่ยนความคิด (Mindset) ให้มอง AI เป็นเครื่องมือของทุกคน


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
Gigolo
เมื่อเทคโนโลยีอยู่ใกล้กับชีวิตทุกคน มารู้เท่าทันเทคโนโลยีเพื่อใช้มัน แต่อย่าให้เทคโนโลยีมันใช้เรา
CLOSE
CLOSE