“ยาหม่อง” … บทพิสูจน์สินค้าโบราณก็เข้า “ตลาดหุ้น” สร้างมูลค่ากิจการ “หลายหมื่นล้าน” ได้!!!

  • 1.1K
  •  
  •  
  •  
  •  

Balm_cover

ก่อนหน้านี้ Oops!!  ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าธุรกิจของสินค้าไทยที่ฟังดูโบราณอย่าง ยาหอม ยาอม และยาดม ไปแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลามาพูดถึง ยาหม่อง ซึ่งเป็นอีกสินค้าไทยๆ ที่ดูเหมือนจะแฝงความเชยเอาไว้ในวิถีการใช้ แต่ใครเลยจะเชื่อว่า แค่ขายผลิตภัณฑ์จากยาหม่องก็สามารถขับเคลื่อนบริษัทให้เติบโตจนมูลค่ากิจการพุ่งขึ้นไปสูงหลายหมื่นล้านบาทได้ … แต่น่าเสียดาย ที่บริษัทที่กำลังพูดถึงนั่น ไม่ใช่แบรนด์ยาหม่องของคนไทย

ยาหม่องตราเสือ เกิดที่พม่า โตที่สิงคโปร์ แต่คนไทยคุ้นเคย

ว่ากันว่า ยาหม่องแบรนด์แรกในประเทศไทยคือ “ยาหม่องตราเสือ” นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มาถึงวันนี้ หลายๆ คนยังหลงคิดว่า ยาหม่องตราเสือเป็นแบรนด์ของคนไทย

tiger2

แต่จริงๆ แล้ว “ไทเกอร์ บาล์ม (Tiger Balm)” หรือยาหม่องตราเสือที่คนไทยคุ้นเคย มีจุดกำเนิดที่เมืองย่างกุ้งโดย โอ  ชู กิง อดีตแพทย์สมุนไพรประจำราชสำนักจากประเทศจีน ซึ่งได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานยังประเทศพม่า (ในขณะนั้น) และได้เปิดร้านเวชภัณฑ์เล็กๆ ขึ้นในปี  2413 เพื่อจำหน่ายยาหม่องบรรเทาความเจ็บปวดเมื่อยล้า

ปี 2451 ร้านตกทอดไปสู่บุตรชายทั้งสอง คือ โอ บุ้น โฮ้ว (แปลว่า เสืออ่อนโยน) และ โอ บุ้น ป่า (แปลว่า เสือดาวที่อ่อนโยน) อันเป็นที่มาของชื่อบริษัท Haw Par Corporation (โฮ้ว ป่าฯ) ในปัจจุบัน ในรุ่นสองนี้เอง สองพี่น้องได้เริ่มขยายกิจการไปยังประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่เพียงประสบความสำเร็จภายในสิงคโปร์เท่านั้น แต่ผลิตัภัณฑ์ยังได้รับความนิยมในประเทศใกล้เคียง ภายใต้ชื่อสินค้า “ไทเกอร์​ บาล์ม” 

ปี 2512 บริษัทฯ​ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากยาหม่องในขวดที่หลายคนคุ้นเคย มาสู่สินค้าหลากหลายรูปแบบและวิธีใช้งาน อาทิ ยาน้ำมัน, ยาดม, ครีมนวดบรรเทาปวด (Neck & Shoulder Rub) ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่ถูกมองเป็นนวัตกรรมแห่งยาหม่องอย่าง พลาสเตอร์บรรเทาปวดและแผ่นปิดหลังบรรเทาปวด ทั้งสูตรร้อนและสูตรเย็น อีกทั้งยังได้ขยายไลน์มาผลิต แผ่นลดไข้ (Fever Patch) รวมถึง สเปรย์และแผ่นแปะกันยุง เป็นต้น

ในปี 2546 บริษัทยังได้เข้ามาเปิดธุรกิจด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย อย่าง Underwater World Pattaya และยังได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯ ด้วยการเป็นเจ้าของตึกเพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมถึงขยายไปสู่ธุรกิจด้านการลงทุน

tiger map

ปัจจุบัน ไทเกอร์ บาล์ม ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยรายได้รวมปี 2561 ของบริษัทฯ สูงถึง 237.8 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทยราว 5,327 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 22.4 บาทต่อดอลล่าร์สิงคโปร์) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 7% ขณะที่กำไรสุทธิปี 2561 สูงถึง 179.1 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ คิดเป็นเงินไทยราว 4,011 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนถึง 46% โดยมาจากกำไรที่เพิ่มขึ้นของ กลุ่มธุรกิจ Healthcare Products ซึ่งปีนี้มีกำไรถึงกว่า 77 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์​ หรือประมาณ 1,724 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน 13%

โดย ณ​ ช่วงสายวันที่ 27 มิ.ย. 2562 บริษัทฯ มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ประมาณ 3,139 ล้านดอลล่าร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 70,315 ล้านบาท เลยทีเดียว

“ผู้นำ” แบรนด์ยาหม่องไทย “ตราถ้วยทอง” มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ตัว

ถ้วยทอง2

ด้วยความที่สินค้าประเภทยาดม ยาหม่อง มักไม่ค่อยมีการทำการตลาดหวือหวา มักใช้วิธีตอกย้ำสโลแกนซ้ำๆ จนทำให้แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี แต่หลายคนยังพอจะจำเค้าของสโลแกนของสินค้าประเภทนี้อยู่ได้เหมือนสโลแกนของยาหม่องตราถ้วยทอง​ที่ว่า “วิงเวียนศีรษะ ทาถู ทาถู เคล็ด ขัดยอก ทาถู ทาถู แมลงสัตว์กัดต่อย ทาถู ทาถู ยาหม่องตราถ้วยทอง มิตรคู่เรือน เพื่อนคู่ตัว”

ยาหม่องตราถ้วยทองเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2487 ในร้านขายของชำลี้เปงเฮง ย่านตลาดพลู ถือได้ว่า เป็นแบรนด์ยาหม่องของไทยรายแรกๆ ที่ยังคงหลงเหลือจนถึงทุกวันนี้ ในช่วงต้นปี 2493 ได้มีการจัดตั้งเป็น บริษัท ถ้วยทองโอสถ จำกัด ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียนแรกเริ่ม 10 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มมาเป็น 40 ล้านบาทในปัจจุบัน โดยอยู่ภายใต้การบริหารของครอบครัว “ลีลารัศมี”

ปัจจุบัน ยาหม่องของถ้วยทองโอสถมีทั้งแบบตลับและขวดแก้ว ยาหม่องน้ำทั้งแบบขวดแก้ว ลูกกลิ้ง และสเปรย์ นอกจากนี้ ยังมีคิดดี้บาล์ม (Kiddy Balm) ยาหม่องสำหรับเด็กและผิวบอบบางแพ้ง่าย โดยมีวางขายในกว่า 10 ประเทศทั่วโลก

ว่ากันว่า ในบรรดาแบรนด์ยาหม่องทั้งหลายในตลาดเมืองไทย “ตราถ้วยทอง” ถือเป็นแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด รองลงมาเป็น “ตราเสือ” ตามมาด้วย “ตราลิงถือลูกท้อ” นี่จึงเป็นที่มาของการเคลมตัวเองว่าเป็น “ยาหม่องอันดับ 1 ที่อยู่เคียงคู่คนไทยมาตั้งแต่ปี  2493”

นอกจากนี้ บริษัทฯ​ ยังมีผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันอื่นๆ อีกกว่า 30 ตำรับภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราถ้วยทอง” อาทิ ยาแก้ปวดฟัน, ยาจี-พามอล พาราเซตามอล, ยาโซดามินท์​ โซเดียมไบคาบอเนต (แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ) ยาคลอเฟนวาย คลอเฟนนิรามีน บรรเทาอาการแพ้ เป็นต้น

ถ้วยทองpl

“ตราลิงถือลูกท้อ”… แม้รายได้ไม่ติดอันดับ แต่ชื่อยังติดอยู่ในใจ​

หลังจากดูรายได้และกำไรของ “ตราเสือ” และ “ตราถ้วยทอง” หลายคนอาจมองว่าแบรนด์ยาหม่องที่คุ้นเคยของคนไทยอย่าง “ตราลิงถือลูกท้อ” ก็น่าจะมีรายได้รวมและกำไร ไม่ห่างไกลกันนัก …​แต่ต้องบอกว่า หนังคนละม้วน

“ตราลิงถือลูกท้อ” นับเป็นอีกแบรนด์ที่หาข้อมูลความเคลื่อนไหวของแบรนด์ ของบริษัท หรือแม้แต่ของผู้บริหารบริษัท ได้ยากมาก​ จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า บริษัท ตราลิงถือลูกท้อ จำกัด จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือน พ.ค. 2535 ด้วยทุนจดทะเบียนแรกเริ่ม 2 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มมาเป็น 5  ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2540 โดยกลุ่มผู้บริหารมาจาก  ตระกูล “วินัยสุรเทิน”

ลิงถือลูกท้อ

เชื่อกันว่า ยาหม่องตราลิงถือลูกท้อมีจุดกำเนิดหลังจาก “ถ้วยทองโอสถ” โดยอาศัยจุดอ่อนของยาหม่องตราถ้วยทองที่เป็นขี้ผึ้งสีเหลือง ซึ่งใช้แล้วมักเจอปัญหาเลอะเสื้อผ้า ทำให้ “ตราลิงถือลูกท้อ” จึงพัฒนาสูตรจนได้ออกมาเป็นยาหม่องสีขาว

ครั้งหนึ่งนานมากแล้ว ยาหม่องขาวตราลิงถือลูกท้อเคยทำโฆษณาที่มีสโลแกนว่า “ขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้ พกพายาหม่องขาวตราลิงถือลูกท้อ ใช้กันมานาน”… อย่างไรก็ดี เนื่องจากช่วงหลัง “ตราลิงถือลูกท้อ” ไม่ค่อยได้มีการทำการตลาด รวมถึงแทบไม่มีการพัฒนาสูตรหรือรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เลย ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทในช่วงหลังลดลงอย่างมาก …

จนเรียกได้ว่า แทบจะเหลือเพียงชื่อที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนรุ่น 25-30 ปีขึ้นไป ที่มักจดจำแบรนด์ในฐานะวลีให้กำลังใจที่ว่า “ท้อมีไว้ให้ลิงถือ”​ …​

และเหลือเพียงคนบางกลุ่มที่ยังคงโหยหาความเป็นยาหม่องขาวในตลับเล็กแบนพกพาสะดวก ตามแบบฉบับของ “ตราลิงถือลูกท้อ”

plลิงถือลูกท้อ

 

Oops!! ขอทิ้งท้ายด้วยภาพเปรียบเทียบระหว่าง “แบรนด์ยาหม่อง TOP3 ในใจคนไทย” พร้อมด้วยความหวังว่า ประเทศไทยจะมีแบรนด์สินค้าสมุนไพรและภูมิปัญญาไทยที่ปลุกปั้นโดยคนไทย สามารถขับเคลื่อนมูลค่าธุรกิจจนสามารถสร้างมูลค่ากิจการได้ทะลุหลักหมื่นล้านบาท ได้ในไม่ช้า….

ยาหม่อง compare

 

อ่านเพิ่มเติม : การตลาดเงียบๆ ก็เหยียบ “หลักร้อยล้าน” ได้ …กับธุรกิจ “ยาหอม ยาอม ยาดม ยาหม่อง”  EP.1


  • 1.1K
  •  
  •  
  •  
  •  
Tummy
เมื่อไหร่ที่หยุดพัฒนาตัวเอง ถึงแม้เราไม่ได้ถอยหลัง แต่โลกก็จะทิ้งเราไว้ข้างหลังและหนีห่างออกไป จนวันหนึ่งเมื่อตื่นมา เราอาจรู้สึกแปลกแยก ... มาเปิดโลกทัศน์ แล้วสนุกกับทุกความเคลื่อนไหวในโลกใบนี้ไปพร้อมกันนะคะ