วิธีคิด 4 แบบในการทำ Video Content ให้ปัง

  • 349
  •  
  •  
  •  
  •  

การทำ Video Content นั้นว่ามาแรงอย่างมากในปีนี้ เพราะเนื่องจาก Facebook นั้นดันการทำ Video Content ขึ้นมาในปีที่แล้ว ทำให้แบรนด์และนักการตลาดหลาย ๆ คนนั้นก็ทำ Video Content ออกมา เพื่อให้ได้อานิสงค์ของ Organic Reach ที่มีต่อวิดีโอนี้ด้วย แต่การทำ Video นั้นไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จที่จะการันตีว่าทำแล้วจะได้ผลในทาวงการตลาดขึ้นมา เพราะมีอีกหลากหลายปัจจัยที่ต้องเข้าใจก่อนจะทำวิดีโอขึ้นมาหนึ่งชิ้น

shutterstock_572418550-700

ทั้งนี้ข้อดีของวิดีโอนั้นมีมากมาย แต่ที่สำคัญสุดคือวิดีโอสามารถสื่อสารเรื่องราวและภาพได้ในครั้งเดียว สร้างสรรค์ให้คนมีอารมณ์ต่าง ๆ และจดจำไปได้ โดยอารมณ์นี้เองที่เป็นตัวแปรสำคัญในการทำการตลาดเพราะสามารถโน้มน้าวพลังในการตัดสินใจหรือการตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี อารมณ์ที่ดีหรือเรื่องราวที่ทำให้เรารู้สึกบวกนั้นมีผลต่อเราในการคิดวิเคราะห์ที่น้อยลง หรือกล้าที่จะเสรี่ยงมากขึ้น อารมณ์เสียอาจจะทำให้ไม่ตัดสินใจเลย หรือคิดหนักมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้การสร้างอารมณ์ลงไปในวิดีโอนั้นจึงนับว่าเป็นเทคนิคที่สำคัญอย่างมากในยุคนี้อย่างมาก

การสร้างอารมณ์ในวิดีโอว่าสำคัญแล้ว แต่อีกจุดหนึ่งที่สำคัญมากกว่า คือกลยุทธ์ของวิดีโอนั้น ๆ ว่าจะทำไปเพื่ออะไร แล้วอยากจะให้คนได้อะไรกลับไปจากการดูวิดีโอนี้ จนถึง insight ของกลุ่มเป้าหมายนั้นเป็นอย่างไร เพื่อที่จะมาเป็นส่วนผสมและองค์ประกอบของการทำวิดีโอในตรงนี้ขึ้นมา ซึ่งเมื่อได้องค์ประกอบที่จะต้องใส่เข้ามาในเรื่อง ก็ต้องมาเลือกว่าจะทำวิดีโอแบบไหนดีที่มันจะโดน ๆ ขึ้นมา เพื่อให้วิดีโอนั้นได้ผลมากที่สุดในด้านอารมณ์จนถึงกระตุ้นการซื้อขึ้นมาได้ ซึ่งวันนี้ผมจะนำเสนอ 4 รูปแบบในการทำเนื้อหาวิดีโอออกมา ที่มีสิทธิ์ที่จะทำให้แบรนด์เกิดได้เลยขึ้นมา

1. Narrative : การเล่าเรื่องแบบบรรยายเรื่องนั้นเป็นวิธีที่ทรงพลังอย่างมาก ถ้าใครได้ดูภาพยนต์ Shawshank Redemption จะจำบทพูดบรรยายของ Morgan Freeman ได้ดี และทำให้ประทับใจจนถึงให้รู้สึกคล้อยตามไปตามเสียงพูดนั้นได้ การบรรยายที่ดีนั้นนั้นสามารถจับความสนใจของผู้ฟังได้ และพาผู้ฟังจากจุดเริ่มต้นของเรื่องไปยังปลายทางของเรื่องได้ ทำให้เข้าใจและมีความรู้สึกร่วมกับเรื่องได้มากขึ้น ข้อดีของการบรรยายนี้ดีกว่าการทำเรื่องราวแบบดูทั่วไป เพราะการบรรยายเรื่องมีผลต่อสมองโดยตรงและทำให้คนฟังเริ่มมีคลื่นสมองที่คล้อยตามกับผู้บรรยาย และทำให้เกิดความสงบหรืออารมณ์ร่วมได้ง่ายตามหลักการวิทยาศาสตร์อีกด้วย ทั้งนี้ใครจะลองทำวิดีโอลองดูวิธีการแบบการบรรยายเรื่องก็ไม่เลวนะ

httpv://www.youtube.com/watch?v=cFEarBzelBs

2. การใช้ความคุ้นเคย : เมื่อประมาณสัก 10 กว่าปีมาแล้ว บริษัท Waltz Disney นั้นหมดมุขในการทำการ์ตูนออกมาแล้ว เพราะไม่มีเจ้าหญิงที่จะใช้มาสร้างเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีครีเอทีฟเอาเรื่องราวของสัตว์ที่แย่งชิงเป็นเจ้าป่าขึ้นมานำเสนอให้สร้างเป็นการ์ตูนขึ้นมา ซึ่งหลาย ๆ คนในห้องประชุมนั้นส่ายหน้าและไม่เอา ปรากฏว่ามีผู้บริหารคนนั้นพูดขึ้นมานี้ มัน Hamlet ชัด ๆ และแน่นอนเรื่องราวนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจได้ทันที และสร้างขึ้นมาเป็นเรื่อง Lion Kings จนโด่งดังนั้นเอง มนุษย์เรานั้นไม่ค่อยยอมรับสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในชีวิตสักเท่าไหร่ ดังนั้นเราจะยอมรับอะไรที่เรารู้สึกคุ้นเคย หรือได้ยินมาจะทำให้เราเริ่มยอมรับเรื่องต่าง ๆ พวกนี้ได้ดีกว่า แม้เราจะจำไม่ได้ว่าเคยเห็นจากที่ไหน แต่ความคุ้นเคยทำให้สะกิดความทรงจำขึ้นมานั้นเอง ทั้งนี้นักการตลาดในต่างประเทศนั้นใช้วิธีในการสร้างเรื่องราว โดยการหา common life ที่เกิดขึ้นมาของคนมาสร้างเป็นวิดีโอที่ทุกคนดูแล้วจะบอกว่า “นี่มันชีวิตแบบเดียวกับเราเลยนิ” ขึ้นมานั้นเอง

httpv://www.youtube.com/watch?v=nPo2B-vjZ28

3. ความสนุกและความตลก : ประเทศไทยนั้นเป็นประเทศที่นิยมเรื่องราวที่เศร้า หรือ เรื่องราวที่สนุกอย่างมาก จนต่างประเทศนั้นยกย่องให้เราเป็นประเทศที่ทำ Sadvertising ได้สุดยอดมากในทางหนึ่ง ทั้งนี้การทำวิดีโอนั้นปรากฏว่าเรื่องราวสนุกและมีความสุขนั้น สร้างผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้ดูได้มากกว่าเรื่องราวที่เศร้าอย่างมาก (นึกถึงกฏ Peak End Rule) ดังนั้นเมื่อโฆษณาที่เอาแบรนด์ออกมาก่อน แล้วสร้างความสนุกกับแบรนด์ คนจะจำแบรนด์ที่ออกมาได้ตอนแรก และเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องที่ให้ความสุขทั้งหลายออกมา มากกว่าแบรนด์ที่เล่าเรื่องต่าง ๆ แล้วเอาแบรนด์ไปออกท้ายสุดนั้นจะไม่มีคนจำแบรนด์ได้เลย การสร้างเรื่องราวตลกและสนุกนั้นยังสร้างการเข้าถึงหรือทลายกำแพงที่ผู้บริโภคต้องไว้ได้ง่ายกว่าแบบอื่นอีกด้วย

httpv://www.youtube.com/watch?v=bvev1Bjx6oA

4. สร้าง role model ขึ้นมา : อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้ คือการสร้าง Video Content ที่ inspiration หรือกระตุ้นให้เกิด perception ต่าง ๆ ขึ้นมาได้ ในอดีตเราเห็นอย่างเด่นชัดกับซอสมัสตาร์ดอย่าง Grey Poupon ที่กลายเป็นภาพลักษณ์สินค้าหรูขึ้นมาทันที หรือการสร้างภาพความฝันที่ผู้บริโภคอยากจะได้ขึ้นมา ซึ่งนี้เองจะช่วยสร้างเรื่องราวที่เกิดตรงกับความต้องการที่ผู้บริโภคอยากจะแชร์และส่งต่อขึ้นมาได้ (ดูตัวอย่างภาพยนต์เกาหลี ที่ผู้หญิงชอบโอปป้าทั้งหลาย แต่ในชีวิตจริง แทบไม่มีผู้ชายที่จะนิสัยแบบในละครเลย) ด้วยการทำเช่นนี้จะทำให้วิดีโอนั้นตรงใจและได้ผลมากยิ่งขึ้น

httpv://www.youtube.com/watch?v=WYP9AGtLvRg


  • 349
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ