Case study, White paper หรือ Our Work ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ Content เหล่านี้ล้วนแต่มีพลังอย่างมากในการทำการตลาดแบบ B2B เพราะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างการโน้มน้าวผู้ซื้อในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ให้เห็นภาพว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์นั้น ๆ จะช่วยธุรกิจที่กำลังมีปัญหาอย่างไร และมีความคุ้มค่าไหมในการลงทุนจาก Case Study ที่ได้อ่านนี้ไป ดังนั้นแบรนด์ B2B นั้นต่างสร้าง Content เช่น Case Study มากมายเพื่อสามารถให้ได้ลูกค้าเพิ่มเติม แต่นอกจากเรื่องลูกค้าที่จะได้มาแล้วก็ยังมีประโยชน์มากมายอีกเช่นกัน
การทำการตลาด B2B นั้นมีความซับซ้อนกว่าการตลาดใน Consumer อยู่มาก เพราะเป็นการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในองค์กรที่อาจจะกลายเป็นลูกค้าและมีการตัดสินใจในหลาย ๆ คนที่จะร่วมกันตกลงซื้อ เช่นจัดซื้อเป็นฝ่ายเสนอ แต่คนอนุมัติคือเจ้าของ หรือเจ้าของอนุมัติ แต่ฝ่ายบัญชีไม่เห็นด้วย ดังนั้นการทำการตลาดแบบ B2B จึงมีความยากในการที่จะรู้ให้ได้ว่าใครคือคนตัดสินใจที่แท้จริง และนอกจากนี้การตัดสินใจนั้นทำอยู่บนปัจจัยอะไร ซึ่งการทำ Case Study นี้สามารถช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ได้ ด้วยการที่ให้คำตอบแก่ทุกๆ คนที่ต้องการ เช่นราคา แก่จัดซื้อ การประหยัดแก่ฝ่ายบัญชี ความคุ้มค่าแก่เจ้าของหรือผู้จัดการโรงงาน ซึ่งนอกจากนี้แล้ว Case Study ก็ยังมาช่วยในงาน Digital Marketing ของ B2B อีกด้วย ซึ่งมีประโยชน์ 8 ข้อดังนี้
1. SEO : สิ่งหนึ่งที่ได้จากการทำ Case Study ลงในออนไลน์แน่ ๆ คือการได้ Content ชิ้นหนึ่งที่จะมี Keyword มากมายอยู่ในนั้น ซึ่ง Keyword เหล่านี้เป็น Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายหรือคนที่นักการตลาดต้องการสื่อสารกำลังมีความสนใจอย่างมาก ทำให้เกิดการเข้ามาเจอได้ง่าย ๆ ผ่าน Keyword ต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วด้วยระบบของจัดอันดับของ Content ทาง Google ก็มีสิทธิ์ที่จะเอา Case Study ของคุณไปจัดอันดับได้จากการที่มีคนเข้ามาค้นหาผ่าน Keyword ของคุณมากมาย
2. Quality : พอต้องทำ Case Study สิ่งที่คุณจะได้กลับมาคืองาน Content ชิ้นหนึ่ง แต่ Content นี้เป็น Content ที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็น Content ที่มีคุณภาพอย่างมากสำหรับผู้อ่าน มีเนื้อหามากมายในเชิงให้ความรู้หรือข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจ ซึ่งข้อมูลพวกนี้จะเป็นข้อมูลเชิงลึกอย่างมากที่ไม่สามารถหาอ่านได้ในที่ไหนอีก ทำให้ผู้ที่เข้ามาอ่านจะใช้เวลาอย่างมากในการอ่านเนื้อหา และอาจจะสืบค้นลึกขึ้นจากการที่ต้องการข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมไปอีก
3. Relevance : เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้ว ผลพลอยได้จากการเผยแพร่ Case Study นี้คือจะทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นสร้างการเชื่อมโยงกับหัวข้อต่าง ๆ หรือ Keyword ต่าง ๆ อย่างทันที ทำให้อุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมายในการที่จะเป็นลูกค้าคุณ จะสามารถรู้ว่าเว็บไซต์คุณนั้นทำงานเกี่ยวกับอะไร นอกจากนี้ยังทำให้ Search Engine ต่าง ๆ ทำงานจัดการกับเว็บไซต์คุณได้ถูกต้องในการนำไปเสนอคนที่น่าจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณเวลาค้นหาอีกด้วย
4. Trust : ด้วยการที่มี Case Study นั้นทำให้เว็บไซต์ของคุณนั้นมีความน่าเชื่อถืออย่างทันที เพราะมีผลการศึกษาวิจัยของการทำงานผลิตภัณฑ์และบริการของคุณกับลูกค้าจริง ๆ ของคุณมา หรือทำให้คนนั้นได้รับรู้ความสำเร็จของคุณ ธุรกิจที่คุณเข้าไปช่วยเหลือต่าง ๆ ด้วย
5. Awareness : แน่นอนการทำ Case Study ย่อมทำให้ได้ Awareness ต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ผ่าน digital หรือการส่งต่อ Case Study ให้ไปอ่านกันตามที่ต่าง ๆ เพื่อให้ได้เรียนรู้ มากไปกว่านั้นถ้า Case Study คุณดีอย่างมาก ก็จะมีคนเอาเอกสาร Case Study คุณนั้นไปอ้างอิงในการทำงาน หรือเอาไปต่อยอดในการทำผลงานอื่น ๆ ทำให้คนรู้จักธุรกิจคุณมากเพิ่มไปอีก
6. Result : เป็นการยากอย่างมาที่จะทำให้คนนั้นรับรู้ความสำเร็จหรือผลงานที่เคยทำมา รวมทั้งรายละเอียดของผลงานต่าง ๆ แต่การทำ Case Study นั้นทำให้คุณได้มีโอกาสที่จะเล่าและนำเสนอกระบวนการคิด การแก้ไขปัญหา กระบวนการทำงาน จนถึงผลงานที่ได้ออกมา ในรูปแบบที่ละเอียดจนคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าถ้าร่วมธุรกิจกับคุณจะได้ผลอย่างไร
7. Conversion : แน่นอนเป้าหมายของการทำ Case Study คือการสร้าง conversion ให้เกิดขึ้นมา โดยจากเหตุผลทั้งหมดถ้าสามารถสร้างความน่าสนใจได้กับกลุ่มเป้าหมาย ไปถึงคนที่ตัดสินใจได้ ก็จะสามารถทำให้เกิดโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำหน้าที่เปิดลูกค้าต่าง ๆ ได้ โดยฝ่ายขายอาจจะส่ง Case Study นี้ออกไปเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการติดต่อเข้าไปขายสินค้าและผลิตภัณฑ์
8. Proof : สุดท้าย Case Study จะให้ออกมาคือข้อพิสูจน์ของการทำงานคุณในรูปแบบที่เป็น social proof เพราะด้วยการที่คุณทำงานกับองค์กรอื่น ๆ อย่างมากมาย ทำให้คุณจะมี Testimonials เหล่านี้มาทำ Case Study และด้วยอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่สนใจก็จะสามารถเกิดการโน้มน้าวจากการมีข้อพิสูจน์จากลูกค้าของคุณเองว่าดีอย่างไร