เมื่อ KPI = Killing productivity index!

  • 2.7K
  •  
  •  
  •  
  •  

 ทุก ๆ ครั้งในการทำงานนั้น เราจะต้องมีตัวชีวัดการทำงานว่าได้ประสิทธิภาพหรือไม่ได้ประสิทธิภาพ เพื่อกำหนดว่าจะไปถึงเป้าหมายตามที่ต้องการหรือไม่ ซึ่ง ๆ ที่จะใช้สิ่งที่เรียกว่า KPI ในการกำหนดการทำงานขึ้นมาเและติดตามกระบวนการทำงานหรือประเมินผลงานทั้งหมดจาก KPI นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ KPI นี้ละ คือกระบวนการที่ทำลาย Productivity ขององค์กร

do-not-control-with-kpis

Key Performance Index  หรือเรียกสั้น ๆ ว่า KPI นั้นเป็นเครื่องมือที่องค์กรใช้กันมาเนิ่นนาน และใช้วัดการทำงานของ Partner หรือ Supplier ต่าง ๆ ที่ทำงานด้วยกันอีกด้วย ด้วยวิธีการใช้ KPI แย่ ๆ  หรือใช้ KPI ผิด ๆ นั้นกลับกลายเป็นว่าทำให้ประสิทธิภาพขององค์กรนั้นไม่ได้ดีขึ้น แม้ว่าจะได้ KPI ที่สวยหรูก็ตาม แต่กลับทำให้แย่ลงไปเรื่อย ๆ จนองค์กรนั้นไม่สามารถแข่งขันอะไรได้ในตลาดหรือเทียบกับคู่แข่งที่บางทีไม่ได้ใช้ KPI เป็นตัววัดหลักในการทำงานเลย สิ่งที่ KPI ควรทำคือการเป็นตัววัดว่ากระบวนการทำงานที่ทำนั้นได้ทำตามกลยุทธ์ขององค์กรที่ทำเอาไว้หรือไม่ แฃะถ้าออกแบบ KPI ที่ดีย่อมชี้ทางในการทำงานที่ดีเพื่อให้ทุกคนเข้าใจด้วยว่ากำลังทำงานอยู่ในขั้นไหน และองค์กระอยากให้พนักงานทุกคนขับเคลื่อนไกันไปขั้นไหนกัน แต่ด้วยวิธีการใช้ที่ไม่ได้สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ประกอบวัฒนธรรมของคนเอเซีย ที่มักจะลงโทษผู้ทำผิด หรือผู้ที่ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ได้ KPI ของตัวเอง โดยไม่ได้ตั้งคำถามว่า KPI ที่ทำนั้นมันมีคุณภาพหรือไม่ Chief edge officer ของ Deloitte  Pete Williams ได้ให้ความเห็นในเรื่อง KPI ว่าเป็นแนวคิดที่แย่ที่สุดที่ได้ถูกคิดค้นออกมาจากมนุษย์ เพราะทำให้มนุษย์หรือคนทำงานสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองทำเท่านั้นโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้างหรือสิ่งแวดล้อมว่าจะทำอะไรขึ้นมาหรือไปถึงไหนกันแล้ว

main-qimg-e528665e66ab35c5a67b88417b3c9870-c

แล้วทำไม KPI ถึงถูกคิดค้นขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ผมกลับมาหวนคิดว่า KPI นั้นน่าจะเหมาะกับระบบโรงงานที่ต้องผลิตอะไรให้ได้ตามเป้าหมายหรือกระบวนการทำงานที่พนักงานไม่ต้องคิดอะไรสร้างสรรค์หรือไม่ต้องทำอะไรที่ต้องเห็นภาพใหญ่ภาพรวมและมุ่งเป้าหมายทำงานให้ได้มีประสิทธิภาพที่สุดในที่นี้คือผลิตให้ให้ได้สูงสุดขึ้นมาซึ่ง KPI จะเหมาะกับระบบแบบนี้อย่างมากแต่เมื่อเอามาใช้กับการทำงานแบบอื่นกลับกลายเป็นสิ่งที่เป็นผลเสียอย่างมากเพราะเป็นการทำลายองค์กรและทำลายคนขึ้นมาเพราะคนจะไม่สนใจงานอื่นหรืองานที่ต้องสร้างสรรค์ถ้าไม่เข้ากับ KPI ที่ตัวเองต้องการนอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอื่นๆอีกเช่น

what-does-the-perfect-kpi-look-like-12-638

ในบางประเทศแถว ๆ นี้ ตำรวจจะได้ KPI เป็นจำนวนใบสั่งที่ออก ยิ่งออกใบสั่งได้เยอะ ยิ่งได้ตามเป้าหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตำรวจจะไล่หาความผิดจากผู้ขับขี่ต่าง ๆ เพื่อออกใบสั่งให้ได้มากที่สุดออกไป หรือบางทีเกิดการยัดข้อหาขึ้นมาเพื่อให้ได้ใบสั่งออกไป ทำให้ประชาชนนั้นเดือดร้อน และแทนที่ตำรวจจะไปจับคนที่ทำผิดจริง ๆ กลับเดือดร้อนประชาชนที่ไม่ได้ทำผิดอะไร หรือหน่วยงานราชการในบางประเทศที่ทำสงครามจิตวิทยากับประชาชนตัวเอง ก็จะทำการสร้าง Content ลงไปในออนไลน์เพื่อเชียร์ผู้ปกครองตัวเอง และไล่ถล่ม Content ที่โจมตีผู้นำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือมี KPI ที่เป็นจำนวนข้อความเข้าไปในออนไลน์ แม้ว่าจะได้ตาม KPI แต่ความเชื่อมั่นหรือการสนับสนุนผู้นำประเทศนั้นไม่ได้เกิดจากการที่ประชาชนสนับสนุนจริง

ergonaute-presentation-on-structured-ideation-toolbox-at-silicon-halton-2-638

ตัวอย่างในการทำงานคือ ห้างสรรพสินค้านั้นจะมี KPI ที่เป็นยอดขายให้หน้าร้านและ e-commerce ของตัวเองแยกจากกัน และแข่งกันว่าใครจะทำยอดได้มากกว่าใคร ซึ่งจะมีโบนัสให้คนที่ทำผ่านและคนที่ทำไม่ผ่านจะถูกลงโทษสิ่งที่เกิดขึ้นคือฝั่งทั้งออนไลน์และหน้าร้านจะทำการแข่งกันแล้วจะแย่งลูกค้ากันเอง สร้างการตัดราคาหรือการทำโปรโมชั่นกันเอง ทำให้แทนที่จะส่งเสริมกันทำงานให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด กลับกลายเป็นแต่ละฝ่ายก็ไม่อยากช่วยอีกฝ่ายขายของเพราะจะเป็นการไปเพิ่ม KPI อีกคนหนึ่งและไม่ได้ KPI ของตัวเอง ระดับเล็กลงมาคือในระดับแผนก ที่มี KPI ให้แต่ละแผนกกัน ซึ่งบางทีแต่ละแผนกทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกันและสามารถช่วยเหลือกันได้ แต่ไม่มีใครคุยกันระหว่างแผนกหรือให้ความช่วยเหลือแผนกอื่น เพราะไม่ได้ช่วยให้ KPI ของตัวเองดีขึ้นทำให้งานที่ควรจะเกิดระหว่างแผนกก็ไม่ได้เกิดหรือไม่ได้สิ่งใหม่ ๆ ออกมา นอกจากนี้เมื่อพนักงานคิดอะไรใหม่ ๆ ออกมาได้ แทนที่จะได้ทำ กลับไม่ได้ทำเพราะถ้าไม่ได้ตรงกับ KPI ที่บริษัทวางเอาไว้ก็ไม่มีความหมายที่จะทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ได้ตรงกับ KPI ที่วางเอาไว้ให้ออกมา

AAEAAQAAAAAAAAd9AAAAJDExMmRmMzFhLTdiODMtNDdhYy04ZmRiLTE0NjJiOWFhNWYwOQ

ทั้งนี้จะเห็นว่า KPI นั้นกลายเป็นดัชนีที่ใช้ทำลายประสิทธิภาพองค์กรทันที ถ้าใช้กันตรง ๆ ตามชื่อของ KPI นักการตลาดหรือองค์กรนั้นต้องตีความหมายของ KPI และใช้ให้เกิดการสร้างสรรค์ว่าเป็นการวัดวิธีในการทำงาน มากว่าว่าเป้าหมายนั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ซึ่งจะสามารถนำมาปรับปรุงวิธีการทำงานต่าง ๆ ว่าจะปรับปรุงอย่างไร นอกจากนี้อย่ายึดติดกับ KPI มากเกินไป และต้องพร้อมเปลี่ยนแปลง KPI  เพราะสถานการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และทำให้เกิดการยืดหยุ่นและความคิดสร้างสรรค์ เชื่อมการทำงานระหว่างกันได้ด้วย สุดท้ายนี้อย่าใช้ KPI เป็นเป้าหมายในการทำงาน แต่ใช้เป็นตัววัดว่ากระบวนการทำงานนั้นสามารถทำงานให้ถึงกลยุทธ์ที่วางไว้ในองค์กรมากแค่ไหนแทน


  • 2.7K
  •  
  •  
  •  
  •  
Molek
Head of Strategic Marketing ใน Integrated Service Agency ที่หนึ่ง ผู้หลงใหลในหลาย ๆ ที่มีความอยากรู้และเรียนรู้ในเรื่อง Startup, นวัตกรรม, การตลาด จากมุมมองหลาย ๆ ด้านและวัฒนธรรมของแบรนด์ต่าง ๆ