หลังจากที่เราเคยลงภาพหลายๆ มุม ที่สำนักงานแห่งใหม่ของ LINE Thailand ณ อาคาร Gaysorn Tower ชั้น 17 ไปบางส่วนแล้ว วันนี้เราขอจัดเต็มที่จะดูในทุกซอกทุกมุม และที่สำคัญคือเป็นการพาเที่ยวชมแบบมีเจ้าบ้านพาไปแนะนำด้วย (ดูภาพเพิ่มเติม)
แต่ถ้ามาเที่ยวชมเพียงอย่างเดียวก็คงไม่ได้จัดเต็มแบบ MarketingOops! อย่างแน่นอน วันนี้เราเลยขออนุญาต คุณเนตร-สุชาติ ภวสิริพร หัวหน้าฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์และธุรการทั่วไป (Head of Human Resources and General Administration) มานั่งพูดคุยแบบสบายๆ ถึงคอนเซ็ปต์ในบ้านหลังใหม่แห่งนี้ รวมไปถึงวัฒนธรรมองค์กรของ LINE Thailand ว่าในความเป็นบริษัทเทคคอมพานีข้ามชาติ เหมือนหรือแตกต่างจากที่อื่นหรือไม่อย่างไร
Best Office for Tech Millennials
เริ่มจากคำถามแรก คือคอนเซ็ปต์ของออฟฟิศแห่งใหม่เป็นอย่างไร คุณเนตรเล่าว่า เราวาง Position ตัวเองว่าเป็น Tech Millennials หรือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ทำงานอยู่ในบริษัท Tech เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการ Position ตัวเองคือ เป็น Best Office สำหรับ Tech Millennials ในประเทศไทย ดังนั้นเราต้องกลับมาพิจารณาว่ากลุ่ม Millennials ต้องการอะไร ส่วนใหญ่ที่เขาต้องการ คือ Location เพราะด้วยไลฟ์สไตล์ของเขาเวลาที่นัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูงตอนเย็นก็ต้องเป็นโลเคชั่นที่อยู่ใจกลางเมือง และเราเลือกที่ เกษร ทาวเวอร์ เพราะเป็นซุปเปอร์ไพร์มโลเคชั่น สามารถเชื่อมต่อกับบีทีเอสได้ มีโรงแรม 5 ดาวสำหรับชาวต่างชาติไว้รองรับกรณีที่เฮดควอเตอร์บินมาก็ได้ แล้วก็ยังมีช้อปปิ้งมอลล์ด้วย
ในส่วนของการออกแบบ เราเน้นออกแบบ Facility ให้มีความเป็น Open Space และออกแบบมาเพื่อให้การทำงานในออฟฟิศราบรื่น เช่น ปวดหัว อยากนอนเราก็มีที่ให้นอน ออฟฟิศซินโดรมที่ทุกคนเป็นกันเราก็มีหมอนวดประจำตลอดเวลา 09.00-17.00 น. ซึ่งเป็นเป็นหมอนวดคนพิการตาบอด 2 คน มาอยู่ประจำที่ออฟฟิศเลย แล้วเราก็ยังวางระบบการจองนวดไว้ด้วยเป็นตารางเพื่อความไม่ทับซ้อน
นอกจากนี้ คอนเซ็ปต์อีกอย่างที่เราวางไว้ก็คือการเป็น Open Communication จะมี Informal Meeting Space ไม่จำเป็นต้องมานั่งประชุมในห้อง เรามีโซฟา มี work bar หรือสามารถคุยกันที่โต๊ะพูล โต๊ะปิงปอง หรือคุยที่โรงอาหารก็ได้
ทั้งนี้ เราอยากจะแตกต่างจาก Headquarter ที่ญี่ปุ่น ที่มีความเป็นบล็อกๆ คือ ใช้ความเป็นไทยเข้ามาผสม มีความโค้งไปโค้งมา ให้มีสีสัน มีต้นไม้อยู่ในออฟฟิศ ดูร่มรื่นมากขึ้น
ออฟฟิศที่ไม่เหมือนออฟฟิศ
สิ่งที่สื่อถึงความเป็นไทย คุณเนตรยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ เดินเข้ามาในออฟฟิศเจอ ‘หมีบราวน์’ ที่ทำท่าทางสวัสดี โดยท่ายกมือไหว้มันจะบ่งบอกว่านี่คือวิธีการตอนรับแบบไทย ซึ่งปกติบราวน์จะนั่งธรรมดา ถัดมาอีกนิดก็จะเจอบราวน์ โคนี่ และช็อคโก้ ใส่ชุดไทย นั่นคือสิ่งที่เราจะบอกว่า ที่นี่คือ LINE Thailand ไม่ใช่ที่ญี่ปุ่น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กิมมิคที่เราจะสื่อสาร คือ LINE เป็น Localize และพยายามที่จะทำอะไรที่เข้าถึงผู้บริโภคคนไทยให้มากที่สุด แต่ก็จะมีบางห้องที่เราทำให้มีอารมณ์ของญี่ปุ่น เช่น ห้องประชุมบางห้องที่เราทำแบบสไตล์ญี่ปุ่น เพื่อให้รับรู้ได้บ้างว่าเราคือบริษัทญี่ปุ่น
ส่วนพวกวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ คุณเนตร บอกว่า เลือกและคัดสรรด้วยตัวเองหลายชิ้น ร่วมกับ คุณบี๋-อริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลน์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไปเลือกด้วยตัวเองเช่นกัน
“เราเลือกวัสดุตกแต่งเองทั้งหมดทุกชิ้น ทุก Meeting Room จะมีคอนเซ็ปต์ไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ก็จะไม่เหมือนกัน นั่นเป็นเพราะเราต้องการสื่อสารว่าที่นี่เป็นบ้านมากกว่าที่จะเป็น Formal meeting room ซึ่งตอนที่คิดคอนเซ็ปต์กับพี่บี๋ แกบอกว่าไม่อยากมาออฟฟิศแล้วเหมือนมาออฟฟิศ อยากทำที่นี่เป็นบ้านหลังที่สอง ไม่อยากให้ดูเครียด แต่ยังคงเป็น Professional Look”
นอกจากนี้ ในแต่ละแผนกก็มีดีไซน์การออกแบบที่แตกต่างกันไป มีสัญลักษณ์ของแต่ละบริการปรากฏอยู่ เช่น ถ้าเดินไปตรงส่วนของ LINE TV ก็จะมี TV จอใหญ่ มีป้ายเหมือนโรงหนัง ว่า Now Showing เดินมาปุ๊ปก็จะรู้ว่านี่คือแผนก LINE TV ส่วน LINE Games โต๊ะจะมีความโค้งเว้าให้ดูมีความ Creativity สนุกสนาน ขณะที่ LINE Man สัญลักษณ์ คือ สีเขียวและมอเตอร์ไซค์เวสป้า เราก็นำมอเตอร์ไซค์มาตั้ง ส่วน LINE Sticker เราจะมีมุมสำหรับ Creator จะมีคาแรกเตอร์ต่างๆ เช่น ติดลม เจี๊ยบ หนูหิ่น และจะมีบางมุมที่ให้รู้ว่าเป็นเซอร์วิสของเรา
สวัสดิการสุดคูล ซื้อสติกเกอร์แจกเพื่อนได้
นอกเหนือจากออฟฟิศจะดูเท่ดูคูลสมกับเป็นออฟฟิศของ Tech Millennials แล้ว บอกเลยว่าสวัสดิการต่างๆ ก็คูลไม่น้อยเลย คุณเนตร เล่าว่า ที่นี่เรามีอาหารให้ฟรี 2 มื้อ ได้แก่ อาหารเช้าและอาหารกลางวัน ส่วนที่ไม่มีอาหารเย็น เพราะเรามองว่าอยากให้มื้อเย็นทุกคนได้ไปใช้ชีวิตกับครอบครัว เพื่อนฝูงบ้าง
และสวัสดิการสุดเจ๋งที่ใครๆ ก็ต้องอิจฉา ก็คือมี Gift Code แจกฟรีให้พนักงานซื้อสติกเกอร์ไลน์ด้วย เนตรเล่าว่า ไอเดียตรงนี้เป็นความคิดริเริ่มจากทีม HR ของเราเอง เมื่อครั้งที่ ซีอีโอของ LINE มาที่ไทยบ่อยๆ ก็จะมีการประชุมกัน ตอนสุดท้ายซีอีโอก็ถามว่าใครมีคำถามไหม ปรากฏว่าพี่คนหนึ่งในทีมเราบอกว่า มีสติกเกอร์ฟรีให้ไหมเพราะว่าเวลาบอกใครว่าทำงาน LINE ชอบมีคนมาขอสติกเกอร์ ซีอีโอก็บอกว่ากู๊ดไอเดีย! ดังนั้น เราจึงเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้สวัสดิการนี้ โดยได้กันเดือนละ 200 บาท และปรากฏว่าสวัสดิการแบบนี้ก็ถูกนำไปใช้ที่อื่นๆ ด้วย ทั้งญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ซึ่งขณะนี้ได้ 6,000 บาทต่อปี
ให้ความสำคัญกับพนักงานและคนในครอบครัว
คุณเนตร เล่าต่อว่า ที่นี่เราให้ความสำคัญกับการใช้เวลากับครอบครัวอย่างมาก โดยเราจะมี Golden Week อย่างช่วงสงกรานต์ที่จะถึงนี้เราก็จะให้หยุดทั้งสัปดาห์ไปเลย ไม่ใช่แค่ 4-5 วัน เพราะเราให้ความสำคัญว่าเมื่อทำงานก็จะต้องมีช่วงเวลาที่ได้พักผ่อน ไปอยู่กับครอบครัวกับคนรัก นอกจากนี้ พนักงานของเราที่แต่งงานแล้วมีสวัสดิการรักษาพยาบาลคู่สมรสและบุตร และเรามีประกันคุ้มครองคู่สมรสและลูกให้ด้วย ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทไทยไม่กี่ที่ที่ทำแบบนี้
อีกเรื่องที่เรารับมาจากญี่ปุ่น คือ LINE Care ถ้าเราเครียดกับงาน ปัญหาสุขภาพจิตทั้งหมด เราจะมี Hotline ให้โทรไปปรึกษา โดยจะเป็นการปรึกษาแบบนิรนาม แค่บอกว่ามาจากบริษัท LINE ปลายสายจะเป็นจิตแพทย์ และ HR professional เขาจะรับฟังปัญหาเราทุกเรื่อง โดยบริการนี้เรารับมาจากญี่ปุ่น เพราะเวลาที่พนักงานเครียดจะเครียดมาก และไม่ใช่แค่ตัวพนักงานเองแต่ความเครียดจะส่งต่อไปถึงครอบครัว ดังนั้น คนในครอบครัว พ่อแม่ลูกสามารถโทรไปได้โดยบอกว่าเป็นใครมีความสัมพันธ์กับพนักงาน LINE อย่างไร แล้วก็ปรึกษาปัญหา เช่น ทำไมลูกเครียด ทำไมลูกกลับบ้านดึก จะมีวิธีการจัดการอย่างไร
“ทีม HR เราจะแสดงออกให้เห็นว่าเรารักพนักงาน ดังนั้น เวลาที่เราสื่อสารอะไรออกไปจาก HR ก็จะมีการใช้แฮชแท็ก #becuaseweloveyou และปัจจุบันก็ใช้แฮชแท็กนี้เพื่อสื่อสารออกไป ทำให้ทุกคนจะรู้ว่ามาจาก HR”
4 หลักการของวัฒนธรรม LINE Thailand
สำหรับวัฒนธรรมองค์กรของ LINE Thailand คุณเนตรเผยว่ายึดหลัก 4 เรื่องสำคัญ ดังนี้
1.IMPACT
เนื่องจากเรามีผู้ใช้งานอยู่ 42 ล้านคนในประเทศไทย เวลาที่เราคิดบริการ หรือมีการเปลี่ยนแปลงอะไรต้องคิดถึงคนทั้ง 42 ล้านคนด้วย อย่างการที่เราคิด LINE Jobs ขึ้นมาก็ต้องตอบสนอง 42 ล้านคน โดย LINE Jobs ก็เกิดจากไอเดียของทีม HR จุดเริ่มต้นมาจากการที่เรามี LINE Career official account ซึ่งมีอยู่ 1.2 ล้านฟอลโลว์เวอร์ มากกว่าบางแบรนด์ด้วยซ้ำ เราก็เกิดความคิดที่อยากจะหาเงินเข้าบริษัท และเราอยากใช้พื้นที่ตรงนี้มาโฆษณาจะทำได้อย่างไร
“แต่พี่บี๋บอกว่าคิดแค่นี้มันไม่อิมแพ็คพอ เราจึงไปจับมือกับพาร์ทที่เก่งด้าน Machine learning และ AI นำมาผูกกับ LINE Jobs ดังนั้น คนที่หางานก็จะมีข้อมูลพื้นฐานของประสบการณ์และโลเคชั่น ดังนั้น เวลาที่จะหางานถ้า search by Location ก็จะมีการแจ้งเตือนงานที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ งานแถวบ้านมีอะไรบ้าง หรือเมื่อเราคลิกสนใจเรื่องไหน Machine ก็จะจำและจะเริ่มส่งงานที่ตรงกับความต้องการมาให้เรา เป็น concept ที่เราต้องทำอะไรให้เกิด Impact นั่นเอง”
2.Professionalism
บริษัทอื่นอาจจะใช้คำว่า Family Culture แต่ถ้าเราใช้คำนี้ เราอาจจะไม่กล้าแตะเขา ไม่กล้าตำหนิหรือลงโทษ เราจะปกป้องเขา ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อองค์กร ดังนั้น เราต้องบาลานซ์ให้ดีให้มีความเป็นมืออาชีพด้วย จึงเป็นที่มาของ Professionalism
3.Ownership
ความเป็น Ownership ไม่ได้หมายถึงการรับผิดชอบงานของตัวเองฝ่ายเดียว แต่เรากำลังพูดถึง องค์กร LINE เช่น ช่วงก่อนนี้น้องเป่าเปาดังมาก แต่ยังไม่ได้ออกสติ๊กเกอร์ ก็มีคนเสนอไอเดียว่าทำไมเราไม่ทำสติ๊กเกอร์เป่าเปาบ้างล่ะ สุดท้ายในช่วงนั้นกลายเป็นสติกเกอร์ที่ได้รับการดาวน์โหลดมากสุดขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเลย แต่คนเสนอไม่ใช่ทีมสติกเกอร์นะ หรือช่วงที่ลอนช์เกมส์ใหม่ๆ มา อย่างเกมส์เศรษฐี เราก็จะมีเดโมให้พนักงานเล่นก่อน ก็จะมีน้องๆ คนที่ไม่ได้อยู่ในแผนกเกมส์มาทดลองเล่นและให้คำแนะนำต่างๆ ด้วย นั่นหมายถึงความเป็น Ownership ที่เรามีร่วมกันใน LINE ไม่เฉพาะแค่งานใครงานมัน
4.Collaboration
สุดท้ายคือ Collaboration คือความร่วมมือกัน ซึ่งการ Collaboration นี้ยังหมายรวมไปถึงการบริหารจัดการคนหลายเจนเนอเรชั่น เรามีตั้งแต่เด็กฝึกงานไปจนถึงผู้อาวุโส แต่ยังนั่งประชุมด้วยกันได้ เพราะเราอยู่บนพื้นฐานของ Professionalism และ Respect and Humble
“หลายคนชอบถามว่า LINE มีการบริหารจัดการคนต่างเจนเนอเรชั่นอย่างไร มีอยู่ 2 อย่าง คือ Vision และ Closing the Distance ไม่ว่าจะอายุเท่าไรแต่เรามีเป้าหมายเดียวกันก็จะช่วยลดปัญหาได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้คนเหล่านี้มองไปที่จุดหมายเดียวกัน ไม่ใช่ว่าพอแก่แล้วจะไม่รับฟังความคิดเห็นของเด็ก หรือเด็กเองไม่กล้าพูดก็ไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่านี่คือ Tech Millennials Office เราต้องการความคิดเห็นจากคุณมาผสมกับประสบการณ์จากเรา จึงกลายมาเป็น LINE ในทุกวันนี้”
Flat Organization
เมื่อบอกว่าเป็นองค์กรของคนรุ่นใหม่ ทำให้เราสงสัยเรื่องของลำดับชั้นในองค์กรอย่างมาก คุณเนตรบอกว่าองค์กรของเราเป็นองค์กรที่ถือว่ามีความ Flat มาก ดังนั้น เราจะทำอะไรก็ไม่เหมือนแพล็ตฟอร์มอื่นที่ต้องมีหลายขั้นตอน แก้ไขลำบาก ทั้งนี้ เราเป็นประเทศลำดับที่ 2 รองจากญี่ปุ่น ดังนั้นเสียงเราค่อนข้างจะดัง อย่าง LINE Man เป็นบริการที่เกิดขึ้นจากคนไทย โดยคนไทย เพื่อคนไทย ไม่มีที่ไหนในโลกทำ LINE Man และมีประเทศอื่นๆ ได้มาศึกษาโมเดลขอ LINE Man เพื่อนำไปพัฒนาประเทศตนเอง หรือ LINE TV เปิดมา 3 ปี ตอนนี้่ขึ้นเป็นที่ 1 ของทีวีรีรันแพล็ตฟอร์ม ซึ่งไต้หวันได้มาศึกษาเราและนำไปทำที่ไต้หวัน
“เรากำลังช่วย LINE ลีดหลาย ๆ อย่าง เราไม่ได้เป็นวัฒนธรรมที่รอคำสั่งจาก Headquarter เราต้องคิด ซึ่งจุดกำเนิด LINE Man มาจาก pain point ที่ว่า ทำไมต้องไปต่อแถวยาว เมื่อไรจะได้กิน ที่จอดรถหายาก แต่ LINE Man เป็น One Stop Service สั่ง จ่ายตังก์ จัดส่ง เจ้าของร้านไม่ต้องยุ่งยาก เพียงแต่ต้องเตรียมคนให้มากขึ้นรองรับการสั่งซื้อ”
ความท้าทายขององค์กร คือให้ความท้าทาย พนง.
อย่างที่กล่าวไว้ว่า LINE Thailand เป็นองค์กรของคนรุ่นใหม่ ดังนั้น อายุเฉลี่ยของพนักงานปัจจุบันคือประมาณ 31 ปี โดยเมื่อสองปีก่อนต่ำกว่านี้อีกคืออยู่ที่ประมาณ 29 ปี โดยคุณเนตร อธิบายการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ว่า เป็นเพราะในช่วงแรกที่ Headquarter เข้ามาดำเนินการต้องการเด็กรุ่นใหม่มากกว่า แต่ตอนนี้เราต้องการคนที่มีประสบการณ์มาช่วยเราด้วย
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นความท้าทายขององค์กรที่มีเด็กรุ่นใหม่อยู่เยอะ เพราะความต้องการของเขาเรื่องเงินไม่ใช่ลำดับแรกอีกต่อไป คุณเนตรบอกว่า จากที่พูดคุยเงินไม่ใช่อันดับแรกแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการ ทว่า เท่าที่พูดคุยสิ่งที่เขาต้องการคือ Challenge และ Career path ดังนั้น เขาต้องรู้ว่าเขาเข้ามาทำอะไร และเขาจะโตในหน้าที่การงานไปได้อย่างไร อันดับรองลงมาคือ Brand เพราะเป็นความภูมิใจ สิ่งที่สำคัญ คือต้องให้ความท้าทายกับเขา
“ยกตัวอย่าง มีน้องอยู่คนหนึ่งเป็นโปรเจ็คต์เมเนเจอร์ของ LINE Jobs ก่อนหน้าทำ LINE@ มา 2 ปี เข้าปีที่ 3 เด็กก็เริ่มมองหาความท้าทายใหม่ๆ ว่ามันมีอะไรให้ผมทำอีกไหมพี่ ก็เลยคุยเรื่องโปรเจค LINE Job เขาก็ยกมืออาสาเลย นี่คือความท้าทายที่เรามอบให้ ขณะที่ทีมสติ๊กเกอร์ส่วนใหญ่เป็นเด็กจบใหม่ทั้งนั้น ถือยอดขายอยู่มหาศาล ซึ่งเขาก็ช่วยกันคิด ช่วยกันหาอีเว้นท์ และเขาก็สนุกกับการสร้างนู่นสร้างนี่ ซึ่ง Headquarter ก็บอกว่า Thailand อยากทำอะไรก็ทำเลย มันก็เลยเป็นความ cool ของออฟฟิศเราว่า ตอบโจทย์ Tech Millennials จริงๆ ซึ่งเราอยากเป็นที่ 1 เราสร้างบริการต่างๆ มาเราต้องเป็นที่ 1 ตอนนี้ อย่าง LINE Man ก็เป็นที่ 1 ในฟู้ดเซอร์วิส”
Career Path ที่สำคัญอยู่ที่วุฒิภาวะ
นอกจากนี้ คุณเนตร ยังอธิบายเพิ่มว่า ในการพิจารณา Career path ไม่ได้สนใจที่ความอาวุโส แต่มองไปที่ Maturity (วุฒิภาวะ) มากกว่าเด็กบางคนอายุ 25 ปี แต่มีวุฒิภาวะมากกว่าบางคนที่อายุ 35 ปี มันอยู่ที่ Maturity และวัฒนธรรมองค์กรทั้ง 4 ของเราว่าคุณมีหรือไม่ และสามารถเป็น Role modal ให้กับคนอื่นได้หรือไม่ เป็นข้อพิจารณาว่าคุณพร้อมที่จะรับงาน และพร้อมที่จะมีทีมเป็นของตัวเอง เพราะแต่ละคนเข้ามาในองค์กรที่เป็น Flat Organization ก็ถามว่าจะโตอย่างไร ซึ่งคุณต้องสร้าง Career path ของตนเอง ไม่ใช่ HR ต้องเป็นคนสร้างให้ แต่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร
และเคล็ดลับสำคัญที่ คุณเนตรบอกว่าช่วยลดช่องว่างเจนฯ ต่างๆ ในองค์กรได้ คือ “ดนตรีและกีฬา” เพราะไม่ว่าจะเป็นวัยไหนสนใจ 2 เรื่องนี้แน่นอน มันช่วยลดช่องว่างได้ดีที่สุด เราพยายามใช้กิจกรรมเข้ามาเป็นตัวนำ เช่น เรามีกิจกรรม LINE Fine Day ในทุกๆ วันศุกร์ (เป็นการเล่นกับคำว่า Friday) โดยเราจะเชิญสปีกเกอร์มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานของเราเช่น บอย โกษิยะพงษ์, กระทิง, ทิวา, หมู อุ๊คบีฯลฯ พอฟังเสร็จก็มีกิจกรรม เช่น การประกวดวงดนตรี แข่งฟุตบอล ฯลฯ เรามีอุปกรณ์ให้พนักงานเต็ที่ อย่างคนเกาหลีที่ทำงานที่นี่ก็ร่วมประกวดด้วย นั่นสะท้อนว่าดนตรี กีฬา มันสลายได้ทุกอย่าง
ความเป็น LINE People
องค์กรของ LINE Thailand มีความน่าสนใจมาก เชื่อว่าหลายคนมีความสนใจอยากเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ เราจึงต้องถามว่าคนที่ LINE Thailand มองหาอยู่ต้องมีอะไรบ้าง
1.คือความ Innovative คนๆ นี้จะมีนิสัยขี้สงสัยและตั้งคำถามตลอดเวลา ทำไมไม่ทำนู้น ทำไมไม่ทำนี่ เขาจะคิดตลอดเวลา
2.ต้องมี Risk taking ต้องกล้าได้กล้าเสีย กล้าล้มกล้าลุก เพราะถ้าเป็นคนที่ Perfectionist จะมาทำงานที่นี่ไม่ได้ ถ้าคุณพลาดหรือล้มมัวนอนซมเสียใจไม่ได้ แต่ถ้าคุณล้มคุณต้องลุกให้เร็วที่สุดและไม่ทำผิดพลาดซ้ำ
3.Passion ถ้าคุณมีแพสชั่นกับ LINE มีแพสชั่นกับการทำงานให้ลูกค้า 42 ล้านคน ว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างไร เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคโดยใช้ LINE ได้อย่างไร เราจะเลือกคุณ
4.ความเป็น Tech Savvy ต้องทันโลกในแง่เทคโนโลยีใหม่ๆ โทรศัพท์ออกใหม่ ฟีเจอร์ต่างๆ คุณต้องรู้ รวมทั้งต้องสนใจและทันข่าวสาร เช่น ใครเทคโอเวอร์ใคร ใครลงทุนที่ไหน คือต้องมีความสนใจตรงนี้ด้วย
“ตอนนี้เรามีพนักงาน 338 คน คนที่อยากจะมาร่วมงานกับเรา สิ่งที่เราต้องการเวลาที่สัมภาษณ์งาน สำคัญมากคือ อย่า Fake เพราะถ้าเมื่อไหร่คุณ Fake มาคุณอาจจะเข้ามาได้ แต่อยู่ไม่รอด เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคนที่เข้ามาคุยกับเราแล้วเป็นตัวเองมากที่สุด”
ท้ายที่สุดสิ่งที่ เนตร อยากบอกกับ ชาว LINE Thailand ก็คือ
“อยากให้พนักงานภูมิใจว่า เรามีคน 42 ล้านคนเป็นลูกค้าของเรา โดยที่เรามีเพียงคน 338 คนเท่านั้น ดังนั้น จงภูมิใจเถอะ คงไม่มีที่ไหนที่คุณจะมีโอกาสขนาดนี้”
และนี่คือความเป็น LINE Thailand.
Copyright © MarketingOops.com