KGEN สร้างความสำเร็จครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ร่วมทุน Chery ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของจีน ผุดโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในไทย แบรนด์ OMODA และ JAECOO มูลค่าลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท กำลังการผลิตเฟสแรก 50,000 คันต่อปี และภายในปี 2571 จะขยายเป็น 80,000 คันต่อปี พร้อมลุยตลาดในประเทศและส่งออกทั่วโลก หวังผลักดันไทยขึ้นแท่นฮับ EV ของภูมิภาค ขณะที่ KGEN ประกาศพร้อมก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการผลิตรถยนต์ EV สนองความต้องการตลาดทั้งในประเทศและระดับโลก
คุณพรทิพย์ ตรงกิ่งตอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเจน จำกัด (มหาชน) หรือ KGEN กล่าวว่า การร่วมทุนในโรงงานผลิตรถยนต์ภายใต้ความร่วมมือกับ เชอรี่ อินเตอร์เนชันแนล ในครั้งนี้ทาง KGEN ถือหุ้น 60% ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการยานยนต์ไทย จากการลงทุนในอดีตที่บริษัทต่างชาติจะลงทุนเองทั้ง 100% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของไทยจากการเป็นเพียงแหล่ง OME โดยการลงทุนครั้งนี้มีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท คาดว่าเฟสแรกจะสามารถเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2568 และจะขยายกำลังการผลิตในปี 2571
นอกจากการจำหน่ายในประเทศแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในการส่งออก ที่สามารถรองรับการผลิตรถยนต์ทั้งพวงมาลัยขวาและพวงมาลัยซ้าย ซึ่ง โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ตั้งเป้าหมายมุ่งยกกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกฉียงใต้ และการขยายตลาดส่งออกจะเป็นส่วนสำคัญในการดึงเม็ดเงินกลับเข้าสู่ประเทศตามเป้าหมายของรัฐบาล เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ KGEN และช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดยานยนต์ระดับโลก
5 ปี รถยนต์ EV ครองตลาดส่วนใหญ่ในไทย
สำหรับมูลค่าตลาดรถ EV โลกในปัจจุบัน มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ เกือบ 9,000 ล้านบาทแล้ว โดยการเติบโตของการใช้รถ EV ไทย แม้ในช่วงนี้รถประเภทสันดาป ยังมีอยู่มาก ดังนั้น ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า Transformation คือจะค่อยๆ ลดปริมาณรถสันดาปลงไปเรื่อยๆ และรถ EV ก็จะค่อยๆ เข้ามาแทนที่ ซึ่งอาจจะข้ามรถไฮบริดหรือปลั๊กอินไฮบริดไปเลย ด้วยเพราะรถค่ายญี่ปุ่นเองที่ยังไม่ได้เข้ามา รวมถึงการ warrantee ของค่ายรถจีนที่ให้ความคุ้มครองนาน ตั้งแต่ 8-10 ปีขึ้นไป ดังนั้น เชื่อว่าในอีก 5 ปี รถ EV มีโอกาสที่จะครองพื้นที่ตลาดเป็นส่วนมากของไทยได้หมดในอนาคตนี้
“คาดการณ์ว่าไม่เกิน 5 ปีที่รถยนต์ EV จะเข้ามครองตลาดส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศ และจะได้ความมั่นใจจากผู้บริโภคไทยมากขึ้น ความท้าทายของรถ EV คือ ค่ายยุโรป ค่ายญี่ปุ่น ค่ายจีน ซึ่งค่ายยุโรป เขาก็ทำ EV ไม่ว่าจะเป็น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู วอลโว ขณะที่ ค่ายญี่ปุ่นค่อนข้างช้า และตั้งใจช้า เพราะมี second tier ซึ่งถ้าค่ายรถญี่ปุ่นเปลี่ยนเป็น EV ปุ๊บ ค่ายรถอื่นๆ มีโอกาสพังได้หมดเลย ในจุดที่เขาพัฒนาช้า ดังนั้น ใน 5 ปีนี้ คิดว่าค่ายโตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า นิสสัน ฯลฯ ก็น่าจะยังอยู่ต่อ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาต่อจากนี้ เมื่อแบรนด์จีน ได้เข้ามาพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น ในเรื่องคุณภาพของรถยนต์ ตรงนี้จะเป็นจุด Turning point สำคัญในการเป็นจุดเปลี่ยนให้กับรถยนต์ EV ในบ้านเราได้เข้ามาครองตลาดเป็นส่วนใหญ่”
กับการที่ค่ายรถยนต์จีนทยอยเข้ามาที่ไทยสิ่งที่ไทยจะได้รับ ในฐานะผู้ประกอบการไทยเห็นว่า ไทยเราได้แน่ๆ คือเม็ดเงินที่เข้าประเทศ ในแง่การลงทุน เสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทยได้อย่างแน่นอน แทนที่เขาจะไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แต่การที่ค่ายรถจีนต่างๆ หันมาสู่ไทย ไทยเราได้ประโยชน์ในจุดนี้ คิดง่ายๆแค่โรงงานละ 5,000 ล้านบาท ก็ถือว่ามหาศาลแล้ว ยังไม่นับการสร้างงานและอาชีพโดยรอบข้าง และที่สำคัญที่สุดคือ การยกระดับ Knowhow ยานยนต์รถยนต์ EV ของคนไทย ซึ่งค่อนข้างสำคัญมาก สิ่งนี้จะทำให้เราเติบโตอย่างยั่งยืนได้
เฉิน ชุนชิง (Mr.Chen Chunqing) รองประธาน เชอรี่ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า Chery มีประสบการณ์ด้านยานยนต์ระดับโลกมากว่า 27 ปี ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก มีโรงงานในต่างประเทศกว่า 10 แห่ง พร้อมผู้แทนจำหน่ายและศูนย์บริการมากกว่า 1,500 แห่ง รวมถึงมีศูนย์วิจัยและพัฒนาทุกภูมิภาคทั่วโลก ขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรายใหญ่ที่สุดของจีนติดต่อกันมาถึง 22 ปี และเป็นแบรนด์รถยนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ด้วยศักยภาพและการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ประกอบกับความเชื่อมั่นในนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย Chery จึงตัดสินใจเข้ามาลงทุนโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย การจับมือกับ KGEN ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของ KGEN ที่แข็งแกร่ง จะช่วยตอกย้ำจุดยืนให้กับ Chery ในตลาดประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นว่ารถยนต์ OMODA และ JAECOO ได้มาตรฐานสูงสุดระดับสากล พร้อมช่วยยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่มาตรฐานระดับสากลอีกด้วย
เป้าหมายสำคัญของ เชอรี่ฯ เราตั้งใจที่จะครองตลาดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ยุโรป และเมื่อสัปดาห์ก่อนเราก็เพิ่งเปิดตัวไปที่ UK ด้วย สำหรับ Southeast Asia เราก็มีการทำตลาดที่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และล่าสุดก็คือ ฟิลิปปินส์ และเร็วๆ นี้ก็เตรียมจะไปเปิดตัวที่ ออสเตรเลีย ในภูมิภาคแถบนั้นด้วย การตัดสินใจที่ไทย เพราะเราเห็นศักยภาพของการเป็นศูนย์กลางเป็นฮับของโรงงานประกอบรถยนต์และชิ้นส่วนของไทย ในภูมิภาค Southeast Asia ไทยเป็นศูนย์กลางของ ภมิภาคนี้ แล้วยังมีเสถียรภาพในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ความแข็งแกร่งของธุรกิจโลคอล และผู้บริโภคไทยมีความพร้อม อีกทั้งประเทศจีนเองก็มีความคุ้นเคยกันในด้านการค้ามาโดยตลอด ดังนั้น จึงนับเป็นตลาดที่ดีที่เราได้ตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย และเราจะไม่ได้คิดลงทุนแค่ระยะสั้นๆ แต่เป็นการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย
‘สงครามราคา’ เกิดขึ้นได้ทุกที่ แต่เป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น
คุณเฉิน ให้ความเห็นว่า สงครามราคาเกิดได้หมดทุกที แม้แต่ที่จีนเอง เมื่อต้นปีก็มีแล้วเช่นกัน แต่สำหรับประเทศไทย ที่เพิ่งเกิดไปก็มีเพียงไม่กี่แบรนด์เท่านั้น ที่เล่นเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้ไมได้เรื่องแปลกหรือเรื่องใหม่เลยในอุตสาหกรรมรถยนต์ มันสามารถเกิดขึ้นได้ แต่คิดว่าเป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น แล้วตลาดก็จะกลับมาปกติอีกครั้ง และในอนาคตก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีก แต่สำหรับเชอรี่ฯ เราไม่ได้แค่นำเสนอ สินค้าดีๆ สู่ตลอดเท่านั้น แต่เรายังนำเสนอและลงทุนทั้งบริการที่ดี ชิ้นส่วนที่มาจากโรงงานประกอบที่ได้คุณภาพ ซึ่งเราเพิ่งลงทุนไป ดังนั้น เรื่องสงครามราคาเราคงไม่ลงมาเล่นด้วยอย่างแน่นอน แต่จะเป็นการร่วมแข่งขันในด้านสินค้าและบริการ เป็นจุดแข็งสำคัญของเรา ซึ่งเราเองก็ได้รับการยอมรับในเรื่องนี้ไปทั่วโลก
ฉี เจี๋ย (Mr.Qi Jie) ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและตั้งใจสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในประเทศไทย พร้อมไม่หยุดนิ่งที่จะเติมเต็มประสบการณ์ของผู้ขับขี่ให้รถยนต์เป็น “มากกว่ารถยนต์” และส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภคชาวไทย การจับมือกับ KGEN เพื่อร่วมลงทุนสร้างโรงงานในครั้งนี้ จะเน้นผลิตรถไฟฟ้าทั้งแบบแบตเตอรี่และไฮบริด โดยเฟสแรกมีเป้าหมายการผลิตรถ JAECOO EV จำนวน 50,000 คัน ภายในปี 2568 และเฟสต่อมามีเป้าหมายผลิตรถ OMODA EV จำนวน 80,000 คัน ภายในปี 2571 สำหรับขายในประเทศ และส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ได้สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการบริการหลังการขายของทั้งสองแบรนด์ ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านผู้จำหน่าย โอโมดา แอนด์ เจคู ทั่วประเทศทั้ง 23 แห่ง และจะขยายถึง 40 แห่งภายในปีนี้