ทีมไทยคว้าแชมป์โลกในรอบ 14 ปี
จากเรื่องราวน่ายินดีที่นักศึกษาไทย ทีม ‘Chemerical’ จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คว้ารางวัลชนะเลิศระดับโลก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในการแข่งขัน ‘L’Oréal Brandstorm 2017’ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีของคนไทย โดยชนะเลิศในรางวัลประเภท Brand Award ได้รับเงินรางวัล เช็คเงินสดมูลค่า 10,000 ยูโร หรือราว 380,000 บาท ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราไม่รอช้าที่จะหาคิวสัมภาษณ์น้องๆ นักศึกษา ทีม Chemerical ที่ไปคว้าชัยสร้างชื่อในปีนี้ โดยหวังว่าประสบการณ์และความรู้ที่น้องๆ ถ่ายทอดให้เราฟัง จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านทุกคน ได้เห็นถึงตัวอย่างของความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วในสายตาคนทั่วโลก
น้องๆ ทำได้อย่างไร และมีเคล็ดลับอะไรในการเอาชนะใจกรรมการ
จากทีมนักศึกษาทั่วโลกที่มุ่งคว้าชัยในเวทีระดับโลกอย่าง ‘L’Oréal Brandstorm2017’ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะคว้าถ้วยแชมป์จากเวทีนี้มาครอบครอง แต่ละทีมต้องผ่านการชนะจากรอบชิงในประเทศก่อนจะไปแข่งขันอีกครั้งในระดับภูมิภาค และไปจบที่รอบสุดท้ายคือเวทีระดับโลก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเวทีการประกวดที่เฟ้นหาเพชรในเพชรอย่างแท้จริง และเพชรในปีนี้คือกลุ่มนักศึกษาไทยจาก ทีม Chemerical ที่คว้าแชมป์โลกจากเวที ‘L’Oréal Brandstorm2017’ มาครองได้สำเร็จ
น้องๆ ทำได้อย่างไร และมีเคล็ดลับอะไรในการเอาชนะคู่แข่งจากทั่วโลกในการแข่งขันที่โหดหินครั้งนี้
บทความนี้เราจึงขอพาคุณมาทำความรู้จักกับ 3 สาวนักศึกษาไทยจากรั้วมหาวิทยาลัยอัสสัมอัญ ได้แก่ เจอร์นี่ บุ๊ค และ เบลล์ (ภาพแรกจากซ้ายไปขวา) เธอทั้ง 3 จะมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องราวการผจญภัยจากในห้องเรียนจนไปสู่เวทีระดับโลก ทำยังไงถึงจะไปคว้าชัยในสนามการแข่งขันใหญ่ที่ปารีสได้ และระหว่างทางเธอต้องเจอกับอะไรบ้าง ไปเริ่มที่คำถามแรกกันเลยค่ะ
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดเริ่มต้นของน้องทั้งสามคนเป็นมาอย่างไร? โอกาสเกิดขึ้น ณ ตอนไหน?
บุ๊ค: เราได้รู้จักโครงการนี้จากมหา’ลัย ตอนนั้นก็เคยได้ยินชื่อว่า L’Oréal Brandstorm เป็นการแข่งขันด้านการตลาดที่น่าสนใจและมีความท้าทาย เราเลยรู้สึกว่าเราอยากใช้โอกาสตรงนี้ในการแสดงความสามารถพัฒนาศักยภาพตัวเอง แล้วลอรีอัลก็เป็นบริษัทระดับโลกที่มีชื่อเสียงยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก ส่วนตัวชอบการแข่งขันประเภทนี้อยู่แล้ว เลยชวนเบลล์กับเจอร์นี่ มาเป็น teammate กันค่ะ
“….เรารู้สึกว่า L’Oréal Brandstorm จะเป็นพื้นที่ทดสอบเราว่าเราจะนำสิ่งที่เราเรียนมาใช้กับโลกแห่งความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหน”
เบลล์: พวกเราเรียนวิชาเอกเป็นธุรกิจระหว่างประเทศ ส่วนวิชาโทเป็นเป็นมาร์เก็ตติ้ง เราเลยรู้สึกว่า L’Oréal Brandstorm จะเป็นพื้นที่ทดสอบเราว่าเราจะเอาสิ่งที่เราเรียนมา ใช้กับโลกแห่งความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ
เจอร์นี่: L’Oréal Brandstorm เป็นการแข่งขันที่พวกเราติดตามมาตลอดและหวังว่าวันหนึ่งจะได้เข้าร่วมโครงการจนเมื่ออาจารย์เข้ามาถามว่าเราอยากแข่งโครงการนี้มั้ย?พวกเราก็คิดว่าโอกาสมันมาแล้วก็ต้องคว้าไว้เราจึงตอบตกลง เพราะอยากจะพัฒนาศักยภาพตัวเองและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ดีก่อนจะเรียนจบค่ะ
จากที่เราได้ไปยืนอยู่ในเวทีระดับนานาชาติ เราคิดว่า Digital Marketing มีความสำคัญขนาดไหนในตอนนี้
เบลล์: ตอนนี้ทุกบริษัทกำลังพูดถึง Digital Marketing ค่ะ ยิ่งตอนที่เราไปแข่งที่ปารีส เราต้องเวิร์คช็อปและทำแบบทดสอบเกี่ยวกับ Digital Marketing เพื่อประเมินความรู้พื้นฐานของเราในเรื่องนี้ เมื่อเทียบกับตลาดในมาตรฐานสากล เรียกว่า ‘DM1 Testing’ ที่ General Assembly (GA) ทำร่วมกับ ลอรีอัล กรุ๊ปและอีกหลายๆองค์กรชั้นนำทั่วโลก
บุ๊ค: แบบทดสอบของ General Assembly จะเป็นมาตรฐานสากลที่หลายบริษัทดังๆ นำมาใช้ในการคัดเลือกผู้สมัครงานในปัจจุบันค่ะ รวมถึงลอรีอัลด้วย ซึ่งมันก็สะท้อนว่าตอนนี้บริษัททั่วโลกให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และ Digital Marketing มันเหมือนเป็นภาษาสากลที่ทั่วโลกต้องใช้
“….ตอนนี้บริษัททั่วโลกให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี และ Digital Marketing มันเหมือนเป็นภาษาสากลที่ทั่วโลกต้องใช้”
โจทย์ L’Oréal Brandstorm ปีนี้คืออะไร? แล้วเราตีโจทย์ออกมาเป็นไอเดียและผลิตภัณฑ์อย่างไร?
บุ๊ค: โจทย์ปีนี้เป็น L’Oréal Men Expert หัวข้อคือการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้เค้าสามารถใช้ชีวิตประจำวันตามไลฟ์สไตล์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเค้าจะกำหนดทาร์เก็ตมาให้กว้างๆว่าเป็น Millennial men แต่เราก็สามารถกำหนดทาร์เก็ตให้ลึกลงไปอีกได้ ตอนที่ได้รับโจทย์นี้มาเราก็รู้สึกว่า ‘We’re all women.’ (หัวเราะ) ก็คิดว่าเราจะทำได้รึเปล่า แต่มันก็เป็นอะไรที่ท้าทายดี และทำให้เราได้เรียนรู้อะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยเรากำหนด target customer ของเราเป็นผู้ชายที่ออกกำลังกาย เข้ายิม เล่นกีฬา หรือเป็นนักท่องเที่ยวที่ต้องเดินทางบ่อยๆ
เจอร์นี่: คือตอนทำรีเสิร์ชกับกลุ่มเป้าหมาย เราก็พบปัญหาหลายอย่าง แต่ก็โฟกัสไปที่ปัญหา 3 เรื่อง คือ เวลาพวกเค้าเดินทางไปยิมหรือไปเที่ยวแล้วต้องพกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่เป็นของเหลวมันสามารถรั่วหรือหกได้ทุกที่ มันมีน้ำหนักมาก และยังเจอข้อจำกัดในการพกของเหลวเวลาขึ้นเครื่องบินอีก (บางคนไม่ได้โหลดสัมภาระ) เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ในคอนเซ็ปต์ “The Ultimate Men Bullet” ขึ้น สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด 3 in 1 สำหรับผู้ชาย ลักษณะผลิตภัณฑ์จะเป็นผงที่ถูกอัด ให้ออกมาเป็นเม็ดกลมเหมือน Bullet เวลาจะใช้ก็ผสมน้ำเอาค่ะ
เบลล์: ส่วนเรื่องเทคโนโลยี ไอเดียเราคือนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง iBeacon และเกมส์มารวมเข้าด้วยกันออกมาเป็นแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ที่สามารถบอกตำแหน่ง และส่งข้อมูลให้กับผู้บริโภคที่เดินผ่านจุดจำหน่ายของลอรีอัลโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคปัจจุบันที่พกสมาร์ทโฟนไปทุกที่
บุ๊ค: เกณฑ์การให้คะแนนจะแบ่งเป็น 4 อย่างคือ Innovation30% , Usefulness 30%, Scalability 20% และ Feasibility 20% เค้าก็จะพิจารณาว่า ไอเดียของเรา ตอบโจทย์ 4 เกณฑ์นี้มากน้อยแค่ไหน
“เราต้อง keep energy ไว้ตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนั้น ซึ่งเค้าสร้างบรรยากาศแบบนี้ขึ้นมาเพื่อให้เหมือนการ pitch ธุรกิจจริงๆ นักลงทุนมีเวลาฟังเราแค่ 5 นาที และยังมีทีมรอต่อเราอีกเพียบ”
ได้ข่าวว่าตอนขายไอเดียกรรมการ ต้องขายเหมือน Pitching บรรยากาศตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มันท้าทายเราขนาดไหน
บุ๊ค: ตอนแข่งรอบรองชิงชนะเลิศบรรยากาศมันจะเป็นเหมือน Startup Pitching ในพวกงาน Exhibition Fair แบบนั้นเลยค่ะ กรรมการจะเป็นเหมือนนักลงทุนซึ่งเราต้องขายไอเดียให้เค้าภายใน 5 นาที และตามด้วย Q&A (ถาม-ตอบ) อีก 5 นาที ต่อหน้ากรรมการ 6 ชุด ความยากคือเค้าจะไม่รู้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับไอเดียของเรามาก่อนเลย เรามีเวลาแค่ 5 นาทีในการทำให้เค้าเข้าใจแมสเสจ ทำให้เค้าจำเราได้ ซึ่งอาจจะขัดกับธรรมชาติของคนเอเชียที่จะเงียบๆนิดนึง แต่พอไปอยู่ตรงนั้นแล้ว เราก็ต้องลุย! ต้องทำทุกอย่างให้เค้าโหวตเราให้ได้ค่ะ (หัวเราะ)
เบลล์: บรรยากาศในช่วง Innovation Pitch มันกดดันและตื่นเต้นมากค่ะ ทั้งห้องปกคลุมไปด้วยแสงไฟสีแดง อารมณ์เหมือนเวที Boxing เค้าจะมี ระฆังเคาะ ตึ๊ง ตึ๊ง ตึ๊ง ให้เราเริ่ม Pitching แล้ว 21 ทีมก็จะ pitch พร้อมๆ กัน แต่ละทีมยืนใกล้กันมาก เสียงมันก็จะดังตีกันไปหมด และมันยากที่เราต้องโฟกัสที่กรรมการตรงหน้า และอธิบายให้เค้าเข้าใจไอเดียเรา ภายใต้บรรยากาศและความกดดันแบบนั้น
เจอร์นี่: เราต้องกระตือรือร้นตลอด ต้อง eye-contact กับกรรมการ ซึ่ง pitch ทั้งหมด 6 รอบ! เราต้อง keep energy ไว้ตลอดในทุกรอบ ซึ่งเค้าสร้างบรรยากาศเลียนแบบการ pitch ธุรกิจจริงๆ ซึ่งเราต้องทำยังไงก็ได้ให้นักลงทุนที่อาจมีเวลาฟังเราแค่ 5 นาทีแล้วต้องไปต่อแล้ว สนใจที่จะลงทุนในไอเดียเราให้ได้ แถมยังมีทีมอื่นรอ pitch ไอเดียต่อจากเราอีกเพียบ! มันทั้งตื่นเต้นและกดดันจริงๆ ค่ะ
แบบนี้เราเตรียมตัวเรื่องภาษากันขนาดไหน ยิ่งเราเป็นเอเชียที่ต้องไปแข่งกับฝรั่ง
เบลล์: ความยากในการสื่อสารคือสำเนียงค่ะ โอเคว่าเราพูดภาษาอังกฤษกันได้ แต่ยังไงมันก็ยังเป็นภาษาที่สองอยู่ดีของเราอยู่ดี บางครั้งเค้าอาจไม่เข้าใจสำเนียงอังกฤษแบบเอเชีย และเราไม่ชินกับสำเนียงยุโรปของเค้า เราจึงพยายามฝึกซ้อมกันอย่างหนัก ทั้งการพูด-การฟัง
เจอร์นี่: ด้วยเวลาจำกัด เราพยายามพูดให้ไวจนบางครั้ง กรรมการก็จับคำพูดบางคำไม่ทัน เราจึงต้องฝึกทักษะการจับใจความสำคัญ เรียบเรียงคำให้กระชับ ได้ใจความครบถ้วน และถ่ายทอดออกมาให้น่าฟังในเวลาสั้นๆ
บุ๊ค: เราก็ต้องพยายามคาดเดาคำถามที่คิดว่ากรรมการน่าจะถามเราให้ได้มากที่สุด แล้วก็เตรียมคำตอบของเราเอาไว้ให้พร้อม พอถึงเวลาก็ตอบจะได้ไม่ตื่นมาก พูดให้เคลียร์ พูดให้ชัด ใช้เวลา 5 นาทีให้คุ้มค่าที่สุด
“เราต้องตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง แล้วพยายามให้ตัวเองไปถึงจุดนั้นให้ได้ ถึงแม้มันจะเหนื่อยและหนักมาก แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งผลที่ออกมามันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต”
เรามีเวลาเตรียมตัวกันขนาดไหน แล้วเราใช้เวลาตรงนั้นเตรียมตัวกันอย่างไรบ้าง
บุ๊ค: นับจากตอนที่ทราบว่าผ่านรอบรอบภูมิภาค แล้วต้องไปแข่งรอบระดับโลก มีเวลาแค่ 2 อาทิตย์เท่านั้น แล้วเราต้องเตรียมตัวสอบอีกด้วย สอบเสร็จเราก็มานั่งทำสไลด์กันเลยค่ะ เพราะมันจะต้องส่งสไลด์ออนไลน์เลยก่อนไปแข่งจริง
เบลล์: ตลอดระยะเวลาแข่งขันอาจารย์ก็ซัพพอร์ตเราดีมาก เพราะอาจารย์ก็เข้าใจว่าเราต้องทำหลายอย่างที่สำคัญไปพร้อมๆ กัน ระยะเวลาการแข่งขันจริงๆ ตั้งแต่รอบชิงแชมป์ประเทศไทยถึงรอบสุดท้ายที่ปารีสใช้เวลาถึง 6 เดือน เราจึงต้องเรียนไปด้วย สอบด้วย และต้องเตรียมตัวแข่ง L’Oréal Brandstorm ด้วย ก็ต้องขอบคุณอาจารย์จริงๆ ค่ะ แล้วก็มีเรื่องช่วยกันทำรีเสิร์ช ทำสไลด์อีก เรื่องภาษาโชคดีว่าเราคุยกันเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ก็เลยมาฝึกเรื่องสำเนียงเพิ่มค่
เจอร์นี่: ค่ะ เรื่องการนำเสนอ พวกเราก็จะพยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด เพราะแต่ละคนก็จะมีสไตล์แตกต่างกันไป ขอแค่เรามีความมั่นใจและเชื่อในตัวเองจากข้างในก็ช่วยได้มาก
เราต้องทำหลายอย่างพร้อมกันขนาดนี้ มีถอดใจกันบ้างมั้ย? แล้วเรามีวิธีกระตุ้นตัวเองอย่างไรให้มุ่งทำตามเป้าหมายจนสำเร็จ
เบลล์: ตอนที่ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขัน เราก็คิดไว้แล้วว่า ‘ฉันจะทำมันให้ดีที่สุด’ ไม่ได้แค่จะสมัครเล่นๆ ในระหว่างทางก็มีหลายครั้งที่เราเกือบถอดใจ แต่ก็ต้องคอยบอกตัวเองว่า ‘การแข่งขันนี้คือสิ่งเดียวที่ฉันอยากจะทำ และจะทำมันออกมาให้ดีที่สุดในตอนนี้’ คือเราต้องตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง แล้วพยายามให้ตัวเองไปถึงจุดนั้นให้ได้ ถึงแม้มันจะเหนื่อยและหนักมาก แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ประมาณ 2 อาทิตย์ในการเตรียมแข่งรอบสุดท้าย แต่ผลที่ออกมามันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
บุ๊ค: เราต้องสร้าง motivation ให้ตัวเองค่ะ และต้องยอมรับสิ่งที่เราต้องเสียสละ แน่นอนว่าเรานอนกันน้อย ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ช่วงสงกรานต์เราก็นั่งทำงานด้วยกันตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงสี่ทุ่มทุกวัน มันดูเครียดนะคะ แต่จริงๆ เราก็ไม่ได้ทำงานกันเครียดขนาดนั้น ด้วยความที่เราเป็นเพื่อนกัน ระหว่างทำงานถ้าเราเบื่อๆ เราก็จะพยายามผ่อนคลาย กินขนม คุยกันเรื่อยเปื่อย เวลาท้อเราก็จะให้กำลังใจกัน พอโอเคแล้วก็กลับมาช่วยกันลุยงานต่อ
เจอร์นี่: สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือ ทีมเวิร์ค เราทั้งสามต้องมีเป้าหมายร่วมกัน และมี motivation มากพอที่จะสู้ไปด้วยกันตลอดทาง ยิ่งวันก่อนแข่งเรากอดคอกันร้องไห้เลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะทั้งเครียด ทั้งกดดัน จำคริปต์ไม่ได้ อาจารย์เลยโยนสคริปต์ทิ้ง ให้เราพูดกันออกมาแบบธรรมชาติ งานหนักเลยค่ะ แต่สุดท้ายแล้วเราต่างรู้ว่าเป้าหมายของพวกเราคืออะไร เราก็ encourage กันและกัน และช่วยกันฝึกช่วยกันซ้อมจนสามารถพูดได้โดยไม่ต้องดูสคริปต์ ทีมเวิร์คและการเข้าใจกันสำคัญสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้มากค่ะ
“สิ่งสำคัญนอกเหนือจากการเตรียมตัวคือ ทีมเวิร์ค เราทั้งสามต้องมีเป้าหมายร่วมกัน และมี motivation มากพอที่จะสู้ไปด้วยกันตลอดทาง”
สิ่งที่เราได้รับจาก L’Oréal Brandstorm มันมีคุณค่าขนาดไหน? แล้วถ้าเรามีเพื่อนที่อยากสมัครเข้ามาแข่งแต่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ เราอยากพูดกับเพื่อนคนนั้นว่าอะไร
เบลล์: มันจึงเป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับนักศึกษา เพราะหลังเรียนจบเวลาสมัครงาน ซึ่งถึงเราจะมีผลการเรียนดี GPA สวย แต่ถ้าเราไม่เคยมีประสบการณ์ในการแข่งขัน หรือฝึกการทำงานกับบริษัทจริงๆ มาก่อนเลย มันก็ไม่มีอะไรมาชี้วัดอะไรได้ และมันยังแสดงให้เห็นว่าเราโฟกัสแค่ในห้องเรียน เราไม่ได้สนใจอะไรที่อยู่โลกภายนอกเลย
การที่เราได้ไปแข่งที่ปารีส ทำให้เรารู้ว่าสำเนียงการพูดอาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เราไม่ต้องกลัวว่าเราจะพูดไม่เหมือนฝรั่ง เพราะเค้าตัดสินเราที่ไอเดียและวิธีการนำเสนอ อย่ากลัวว่าเราเป็นเอเชียแล้วเราจะสู้เค้าไม่ได้
“สำเนียงการพูดอาจไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เราไม่ต้องกลัวว่าเราจะพูดไม่เหมือนฝรั่ง เพราะเค้าตัดสินเราที่ไอเดียและวิธีการนำเสนอ อย่ากลัวว่าเราเป็นเอเชียแล้วเราจะสู้เค้าไม่ได้”
เจอร์นี่: ตอนที่เรียนในมหา’ลัยเราพรีเซ้นต์งานกันบ่อย แต่กับการพรีเซ้นต์บนเวทีระดับนานาชาติ ประสบการณ์ที่ได้มันต่างกันมาก คนที่ฟังเราพูดก็ไม่ใช่อาจารย์ในมหา’ลัย แต่เป็นคนที่อยู่ในโลกการทำงานจริง ได้เปิดโลกทัศน์ ได้เห็นความสามารถและศักยภาพของคนรุ่นเดียวกันในต่างประเทศ อยากให้คิดว่าโอกาสมันเปิดขนาดนี้ ทำไมเราถึงจะไม่ลองล่ะ
บุ๊ค: สิ่งที่เราจะได้คือประสบการณ์และโอกาสที่หาซื้อไม่ได้ค่ะ นอกจากนั้นตัวบุ๊คเองและเพื่อนๆ หลายคนที่แข่งมาพร้อมกัน ยังได้รับโอกาสเข้าทำงานกับลอรีอัล ประเทศไทย ในโครงการ Management Trainee ด้วยค่ะ
“มีคำคมนึงจาก John Barrow ‘If you never try, you’ll never know what you are capable of’ ถ้าคุณไม่เคยลอง คุณก็ไม่มีวันรู้ว่าคุณสามารถทำอะไรได้บ้าง
เราจึงขอสนับสนุนให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่สนใจเข้าร่วมแข่งขัน อย่าลังเลและต้องลองลงมือทำค่ะ สามสิ่งที่คนที่สนใจมาแข่ง L’Oreal Brandstorm ควรเตรียมมา คือ สิ่งแรกคือความเชื่อ เชื่อมั่นในตัวเองและมีความทะเยอทะยาน สองคือ การมีทีมและโค้ชที่ดี เราต้องขอขอบคุณกันและกัน และมิตรภาพดีๆ ที่มีให้แก่กัน เราไม่ใช่แค่เพื่อนทำงาน แต่เราเป็นเพื่อนกันทุกสถานการณ์ การที่เราจะไปถึงจุดที่ยิ่งใหญ่ได้ เราไม่อาจไปได้แค่คนเดียว และที่สำคัญ อาจารย์หรือโค้ชเป็นส่วนสำคัญที่คอยให้คำแนะนำ ชี้แนะ และสนับสนุนเราเสมอ ส่วนเรื่องสุดท้าย คือการลงมือทำอย่างตั้งใจ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้
พวกเราอยากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยโค้ชน้องๆ รุ่นต่อไป ให้ได้ไปแข่งขัน L’Oréal Brandstorm ที่ปารีส ฝรั่งเศส และคว้าแชมป์มาให้ไทยแลนด์ได้อีกครั้งค่ะ (ยิ้ม)” น้องบุ๊คกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจ
เกี่ยวกับ ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม
“ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม” เป็นเวทีการแข่งขันการวางแผนการตลาดสำหรับนักศึกษา จัดขึ้นครั้งแรกโดยบริษัท ลอรีอัล กรุ๊ป ในปี 1992 ซึ่งนักศึกษาจะรับบทเป็นผู้นำเสนอโครงงานของพวกเขาต่อคณะกรรมการด้วยความสร้างสรรค์ โดย 25 ปีที่ผ่านมา มีนักศึกษา สนใจเข้าร่วมแข่งขันมาแล้วกว่า 95,000 คนทั่วโลก จาก 58 ประเทศ และในแต่ละปีมีนักศึกษาผ่านเข้าการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศมากกว่า 15,000 คน สำหรับประเทศไทยได้จัดโครงการนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 14 โดยในการแข่งขันปี 2017 นี้ มีนักศึกษาไทยกว่า 237 คน จาก 6 มหาวิทยาลัยชั้นนำเข้าร่วมแข่งขัน
คอนเซ็ปต์การแข่งขันปีนี้คือ “DISRUPT MEN’S GROOMING WITH LIFE-CHANGING INNOVATION” หรือ “การสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อพลิกโฉมการดูแลตนเองสำหรับผู้ชายผ่านแบรนด์ L’Oréal Men Expert” ผู้เข้าแข่งขันจะต้องพัฒนาแผนการตลาดและวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียลและสร้างผลงานเชิงบวกให้กับสังคม โดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเป็นกลยุทธ์หลัก ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้ผู้บริโภค โดยไอเดียนั้นจะต้องสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับแบรนด์ได้ในอนาคต แต่ละทีมจะมีเวลาเพียง 10 นาที ในการนำเสนอผลงานเพื่อขายไอเดียต่อหน้ากรรมการที่ทำหน้าที่เสมือนนักลงทุน คล้ายกับการ Pitching ของเหล่าสตาร์ทอัพในสนามจริง
ทีมที่ชนะเลิศประเทศไทยได้เป็นตัวแทนประเทศเพื่อไปแข่งขันต่อ เพื่อชิงการเป็นตัวแทนของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค และไปแข่งในระดับโลก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อชิงรางวัลชนะเลิศ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ รางวัลด้านแบรนด์ เงินสดจำนวน 10,000 ยูโร รางวัลด้านเทคโนโลยี เงินสดจำนวน 10,000 ยูโร และรางวัลด้าน CSR เงินสดจำนวน 5,000 ยูโร