ธุรกิจ Streaming ถือเป็นหนึ่งธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์โรคระบาด นั่นเพราะผู้คนต้องติดอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน และการอยู่ในบ้านเป็นเวลานานหลายคนก็ต้องการคลายเครียด บางคนใช้วิธีฟังเพลง บางคนใช้วิธีเล่นเกม และหลานคนใช้วิธีดูหนังผ่านระบบ Streaming ซึ่งในเวลาต่อมา Streaming เริ่มมีผู้ให้บริการหลายรายเพิ่มขึ้น
โดยระลอกแรกของสงคราม Streaming เกิดขึ้นจากการที่มีหลายค่ายผู้ให้บริการผุดออกมาจำนวน ส่งผลให้คอนเท้นต์กลายเป็นจุดสร้างความแตกต่าง ใครที่มีคอนเท้นต์หลากหลายครอบคลุมความต้องการของตลาดได้ย่อมหมายถึงการเข้าไปอยู่ในใจผู้บริโภค นั่นจึงทำให้เหล่าค่าย Streaming ต่างเริ่มออกไปช้อปปิ้งค่ายภาพยนตร์ ทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรหรือไม่ก็ซื้อกิจการมันซะเลย
ส่งสัญญาณ Streaming น่าเป็นห่วง
ทว่าในช่วงหลังมานี้กระแสความนิยม Streaming เริ่มลดง เนื่องจากผู้คนเริ่มออกจากบ้านมาใช้ชีวิตที่เสมือนเป็นปกติ ทั้งการไปทำงานและการไปเที่ยว กิน ดื่ม ส่งผลให้เวลาการใช้ชีวิตในบ้านลดลง เท่ากับลดระยะเวลาในการรับคอนเท้นต์ต่างๆ ของผู้ให้บริการ Streaming ส่งผลให้ยอดจำนวนสมาชิก (Subscribers) ลดลงอย่างมหาศาล และส่งผลต่อหุ้นโดยเฉพาะ Netflix ที่ถือเป็นเจ้าตลาด
แน่นอนว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการทันทีเพื่อดึงดูดให้สมาชิกกลับมาใช้บริการอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าบริการหรือการอนุญาตให้มีการโฆษณาได้เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งสถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับ Netflix แต่กับค่ายอื่นๆ อย่าง Disney+, Comcast, HBO Go เป็นต้น ต่างก็กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกันนี้
ซึ่งแต่ละค่ายต่างก็มีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน โดยทาง Disney+ จะใช้ข้อได้เปรียบที่มีสตูดิโอผลิตภาพยนตร์จำนวนมากอยู่ในมือ หันมาผลิตคอนเท้นต์ที่มีคุณภาพตอบโจทย์คนดู ขณะที่ Netflix อาจต้องทบทวนศักยภาพการผลิตคอนเท้นต์ ซึ่งเป็นต้นทุนจำนวนมหาศาลและดูเหมือนว่านักลงทุนจะอยากให้ Netflix ลดการลงทุนที่มากเกินไปลง ส่วนบางค่ายก็เริ่มมองหาคอนเท้นต์อื่นที่มีความน่าสนใจ เช่น รายการข่าว รายการกีฬา เป็นต้น
โฆษณาทลายกำแพง Streaming
ดูเหมือนว่าที่ผ่านมา Streaming ถูกจัดให้เป็น Paid TV หรือที่เราอาจรู้จักในชื่อ Cable TV ซึ่งข้อดีของการรับชมผ่านรูปแบบดังกล่าว ช่วยให้สามารถรับชมรายการได้แบบเต็มๆ ชนิดที่ไม่มีโฆษณามาคั่นให้เสียอารมณ์ แต่เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของ Streaming ทำให้หลายค่ายเริ่มต้องมองหาวิธีการสร้างรายได้เข้าสู่ธุรกิจและหนึ่งในนั้นคือการขายช่วงเวลาหรือพื้นที่ให้กับโฆษณา
ซึ่งทั้ง Netflix และ Disney+ เริ่มมีความชัดเจนในการเตรียมเปิดให้มีการโฆษณาบนแพลตฟอร์ม แน่นอนว่าผู้ชมที่อาจจะเป็นคนส่วนใหญ่ต้องตั้งคำถามถึงความพิเศษจากรายการทีวีปกติทั่วไป หลังจากต้องเสียเงินค่าสมาชิก และมีแนวโน้มที่ลูกค้าจำนวนไม่น้อย อาจจะขอถอนตัวจากการเป็นสมาชิกและอาจทำให้ยอดรายได้จากจำนวนสมาชิกลดลง แต่เม็ดเงินโฆษณาก็จะสามารถไหลเข้ามาทดแทนรายได้ส่วนที่หายไปได้
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญออกโรงเตือนว่า ธุรกิจโฆษณามีความผันผวนตามสภาพการณ์เศรษฐกิจ รวมไปถึงบางพื้นที่ยังมีเรื่องของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่าแพลตฟอร์ม Streaming มีการปรับลดราคาลงเพื่อให้ผู้ชมยอมรับในการรับชมแบบมีโฆษณา แต่สิ่งที่จะช่วยให้ผู้ชมกล้าตัดสินใจจ่ายเงิน จะยังคงเป็นเรื่องของคอนเท้นต์ที่ต้องสามารถดึงดูดและสร้างความต้องการรับชม
สร้างความน่าสนใจในแพลตฟอร์ม
นอกจากการนำโฆษณาเข้ามาช่วยเสริม Streaming แล้ว การสร้างความน่าสนใจในด้านอื่นๆ ก็ยังมีส่วนช่วยให้จำนวนสมาชิกยังคงเพิ่มขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น Disney+ ที่กำลังมองการขยายคอนเท้นต์ไปสู่กลุ่มผู้เล่นเกม โดยมองว่าเกมและภาพยนตร์ไปด้วยกันได้ ภาพยนตร์หลายเรื่องมีเกมออกตามมาภายหลัง ในขณะที่หลายเกมดังมากจนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์
นั่นจึงทำให้ Disney+ เข้าซื้อกิจการของ Roblox บริษัทเกมที่เน้นการเล่นแบบอินเทอร์แอคทีฟหลายผู้เล่น ขณะที่ Apple TV+ จะเน้นสร้างประสบการณ์การรับชมทีวีได้บนทุกอุปกรณ์ของ Apple ส่วนบางค่ายเลือกที่จะไม่ขยายธุรกิจไปสุ่กลุ่มอื่น เนื่องจากต้องการความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเฉพาะระบบ Streaming
ดังนั้นในอนาคตเราอาจได้เห็นโฆษณาต่างๆ บนแพลตฟอร์ม Streaming กันแบบขนานใหญ่ ซึ่งธุรกิจอาจจใช้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภค ถึงอย่างนั้นธุรกิจ Paid TV ที่ไม่มีโฆษณามาคั่นก็อาจจะเกิดได้ยาก เนื่องจากยังมีอุปสรรคในเรื่องของคอนเท้นต์ ซึ่งต้องจับตาดูคลื่นระลอก 3 ว่าจะมาในรูปแบบใด หลังจากคลื่นระลอกแรกแก้ปัญหาด้วยการสร้างคอนเท้นต์ที่หลากหลาย คลื่นระลอกที่ 2 อาจนำโฆษณาเข้ามาเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจ
Source: CNBC
