ช่วงที่ผ่านมา Amazon ซื้อกิจการ Whole Foods Market เชนค้าปลีกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์อาหารออแกนิคคุณภาพดี ที่ทำให้ผู้บริโภคสนุกกับการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพได้มูลค่า 13,700 ล้านเหรียญฯ
ดูเหมือนว่า Jeff Bezos ที่เป็น CEO ของ Amazon มอง Amazon มากกว่า E-Commerce แล้ว
หรือ Amazon คิดกินรวบธุรกิจค้าปลีกในอเมริกา?
แต่นี่มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เพราะอีกสองปีข้างหน้า Amazon จะครองธุรกิจอาหารค้าปลีกในอเมริกา และในอนาคต Amazon มองว่าร้านค้าปลีกที่ตัวเองมีจะไม่ได้ขายแค่อาหาร แต่จะขายทุกอย่างที่ Amazon ขายอยู่ตอนนี้ หลังจากที่ AmazonFresh บริการค้าปลีกของ Amazon นั้นขยายตัวช้าเกินไป
นั่นหมายความว่าใครหน้าไหนก็ตามที่ขายอาหารอยู่จะไม่มีวันสู้ Amazon ได้อีกแล้ว Amazon กำจัดคู่แข่งได้อย่างเด็ดขาด ภายหลังที่ Amazon ซื้อกิจการ Whole Foods Market ราคาหุ้นของธุรกิจค้าปลีกรายอื่นอย่าง Walmart, Target, Costco , SuperValu และ Sprouts ไม่เว้นแม้แต่ Walmart ก็ร่วงกันเป็นแถว
แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้กับธุรกิจอย่างธุรกิจเกษตร โลจิสติกส์และซัพพลายเชนในอเมริกาด้วย
Amazon เปิดจังหวะดีสำหรับการเกษตรท้องถิ่นในอเมริกา
ในเมื่อ Amazon เหมาธุรกิจอาหารค้าปลีกไปแล้ว ซัพพลายเชนในด้านอาหารต้องถือโอกาสนี้พัฒนาให้ทันโมเดลธุรกิจของ Amazon ใครที่ทำธุรกิจโลจิสติกส์และขนส่งอาหารก็ต้องเตรียมเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ
ที่สำคัญคือผู้บริโภคมีโอกาสที่จะได้รับอาหารสดใหม่จากฟาร์มโดยตรง คาดว่า Amazon จะมีนวัตกรรมเข้ามาตรงนี้ และทำกำไรได้อีกมากจากตลาดค้าปลีกที่มีอยู่เดิม Amazon มีเทคโนโลยีที่พร้อมสนับสนุนการค้า บริการบนเว็บไซต์ สื่อ โลจิสติกส์ ปัญญาประดิษฐ์ แม้แต่พันธุศาสตร์ซึ่ง Amazon กำลังพัฒนาอาณาจักรของอาหารกว่า 3,000 ชนิด เราจะได้เห็นนวัตกรรมของผลิตผลของการเกษตรในไม่ช้า
นำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาใช้เต็มสูบ
AI จะทำงานได้ดีต่อเมื่อมีข้อมูลที่มีคุณภาพ Alphabet ที่เป็นธุรกิจ AI ของ Google ต้องมาเจอความท้าทายจาก Amazon แล้วเพราะ Amazon ปรากฎตัวในธุรกิจค้าปลีกไฮเอ็นด์ที่กระทบรายจ่ายของคนอเมริกันเต็มๆ เท่ากับว่าตอนนี้ Amazon มีข้อมูลของคนที่อยู่ในตลาดค้าปลีก และเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพ หรือพูดเป็นนัยก็คือ AI ของ Amazon เตรียมแข่งชนกับ AI ของ Google ได้อย่างไม่ยากเย็นเลย
ในอนาคต Amazon มองว่าร้านค้าปลีกที่ตัวเองมีจะไม่ได้ขายแค่อาหาร แต่จะขายทุกอย่างที่ Amazon ขายอยู่ตอนนี้ นั่นรวมถึงร้ายขายยาค้าปลีกด้วย ซึ่งธุรกิจสุขภาพก็มีความสำคัญกับผู้บริโภคในอเมริกาไม่แพ้กับธุรกิจค้าปลีกอาหารเลย
ตกลงแล้ว Amazon ซื้อ Whole Foods Market ไปทำไม?
ถ้าคิดถึงคู่แข่งที่มีทุนมีขนาดพอสู้กับ Amazon ได้ก็คงเป็น Walmart ที่แข่งเรื่องธุรกิจออนไลน์กับ Amazon มาเป็นปีๆ
คำถามคือใครจะรวมธุรกิจออฟไลน์และออนไลน์ได้เร็วและดีกว่ากัน?
หลังๆ Walmart แข่งกับบริการเดิมของ Amazon โดยส่งของฟรีหากใช้เวลาเพียงสองวัน ไม่ต้องเสียค่าสมาชิก นับรวบเป็นกว่าล้านชิ้น จับกลุ่มผู้บริโภคมีรายได้น้อย แต่การให้บริการของ Walmart แบบนี้แทบไม่กระเทือน Amazon เลยสักนิดเดียว เพราะ Amazon ให้บริการกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยให้จ่ายเป็นเงินสดได้ มีส่วนลดค่าสมาชิกสำหรับผู้บริโภคที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยมองว่าบริการสมาชิกสำหรับผู้บริโภคกลุ่มนี้เป็นเรื่องจำเป็น
ปัญหาตอนนี้ของ Amazon จึงเป็นการหารายได้จากผู้บริโภคที่มีรายได้สูงกว่าและเป็นลูกค้าของ Walmart ได้อย่างไร?
เพราะ Walmart เองก็มีร้านค้าทุกๆ 10 ไมล์ครอบคลุมคนอเมริกากว่า 90% เข้าไปแล้ว แถมสั่งของออนไลน์มารับที่ร้านได้อีก Amazon เสียเปรียบ Walmart ตรงที่ไม่มีความรู้เรื่องของค้าปลีกหน้าร้านเท่า Walmart ทั้ง Amazon และ Walmart ต่างเข้าใจว่าการซื้อขายออนไลน์ไม่ใช่ทุกอย่าง เราไม่สามารถบังคับให้ทุกคนมาช็อปปิ้งออนไลน์ได้อย่างเดียว สุดท้ายธุรกิจไม่อาจปฏิเสธข้อดีของการมีหน้าร้านได้อย่างเช่นประสบการณ์การได้จับต้องสินค้าจริงก่อนซื้อ และได้ของเลยไม่ต้องรอให้ร้านมาส่งของ
นั่นเป็นเหตุผลใหญ่ที่ Amazon ซื้อ Whole Food Market ชนกับสตาร์ทอัพค้าปลีกทุกรายโดยเฉพาะ Walmart ในขณะที่ Walmart กำลังแก้จุดอ่อนในเรื่องของการขายออนไลน์ Amazon ก็กำลังแก้ไขจุดอ่อนในการมีหน้าร้าน
แล้วดูเหมือนว่า Amazon ในอนาคตหลังจากซื้อ Whole Food Market ก็จะไม่มีจุดอ่อนเรื่องหน้าร้านอีกต่อไป
Source: Copyright © MarketingOops.com