GDH ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ส่งหนังไทยให้ไปสู่ตลาดโลก หวังแซงรายได้ในประเทศ ด้วยกลยุทธ์ Diversification Strategy

  • 11
  •  
  •  
  •  
  •  

 

อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในทุกวันนี้สามารถสร้างชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ได้รับการยอมรับกันอย่างมาก ด้วยเนื้อหาคอนเทนต์ นักแสดง หรือการโปรดักชั่น ซึ่งกว่าที่จะได้รับการยอมรับก็เคยผ่านช่วงล้มลุกคลุกคลานกันมาอย่างยาวนาน แต่อัตราการเติบโตของธุรกิจหนังไทยกำลังกลับมาหลังจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้ตัวเลขของรายได้ถดถอยลง

 

รายได้รวมของหนังไทยและต่างประเทศภายในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

มูลค่าของรายได้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยปกติแล้วจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000-4,000 ล้านบาท แต่หลังจากช่วงโควิดกำลังเข้มข้นเศรษฐกิจเริ่มทรุดตัวลง ส่งผลให้ตัวเลขของรายได้เริ่มถดถอย เช่นในปี 2563 รายได้มูลค่ารวมอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท แต่สัดส่วนของรายได้ส่วนใหญ่ตกไปที่หนังฟอร์มยักษ์ต่างประเทศ 700 ล้านบาท หนังไทยอยู่ที่ 300 ล้านบาท ที่หนักกว่านั้นคือในปี 2564 รายได้มูลค่ารวมอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท หนังต่างประเทศ 900 ล้านบาท หนังไทยรายได้เหลืออยู่ที่ 182 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากโรงภาพยนตร์ไม่สามารถเปิดให้ใช้บริการได้ตามปกติ เป็นสัญญาณความลำบากที่ผู้ทำหนังกำลังต้องเผชิญกับวิกฤตนี้ แต่หลังจากที่ตลาดเริ่มเปิดในปี 2565 ทำให้มีการฟื้นตัวของรายได้มูลค่ารวมเพิ่มมากขึ้นอยู่ที่ 2,128 ล้านบาท แบ่งเป็นหนังต่างประเทศ 1,700 ล้านบาท หนังไทย 414 ล้านบาท นั่นถือเป็นโอกาสดี ๆ ที่คาดว่าจะทำให้รายได้ในปี 2566 เพิ่มเติบโตขึ้นอีกไม่ใช่น้อย

 

จากจุดนี้ทำให้ GDH เดินหน้าผลิตภาพยนตร์ไทยและซีรีส์คุณภาพดี รวมถึงจับมือร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์อย่าง เอ็นเอท สตูดิโอ ที่จะช่วยพาหนังไทยไปตลาดโลก

 

คุณจินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด เปิดเผยว่า “ในปีที่ผ่านมา GDH เปิดโอกาสเพิ่มคนทำงานรุ่นใหม่ไฟแรงมาร่วมสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ เราได้ร่วมทุนกับ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น  ผลิตภาพยนตร์ต่อยอดอย่าง บุพเพสันนิวาส ๒ ทำให้ปีที่ผ่านมาเรามีงานที่หลากหลายที่เข้าถึงคนดูในกลุ่มต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมาทำรายได้รวมอยู่ที่ 504.90 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อน 95% จากงบการเงิน GDH รายได้ 341.16 ล้านบาท รวมกับรายได้ JV Destiny ที่ GDH ร่วมทุนถืออยู่ 70% รวมเป็นรายได้ 163.74 ล้านบาท และในปีนี้ทีมเราก็ยังตั้งใจพัฒนาต่อไป เพื่อส่งความสุขไปถึงคนไทยทุกกลุ่ม และพาทีมหนังไทยไปให้ถึงเป้าหมายตลาดโลก”

 

เส้นทาง Line up ของ GDH ที่จะผลิตคอนเทนต์ไปสู่ตลาดโลก

 

 

  1. เธอกับฉันกับฉัน ซึ่งเข้าฉายแล้ว ทำรายได้ไป 60 ล้านบาททั่วประเทศ มีกระแสตอบรับที่ดีและตอนนี้กำลังเดินสายฉายอยู่ในต่างประเทศ
  2. บ้านเช่า..บูชายัญ ร่วมทุนกับ เอ็นเอท สตูดิโอ พาร์ทเนอร์ที่จะมาช่วยเรื่องการจัดจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา
  3. DELETE ผลงานเรื่องแรกที่ร่วมพัฒนากับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Netflix เพื่อขยายตลาดจากเดิมที่อยู่แค่ในโรงภาพยนตร์
  4. แฟนฉัน รีมาสเตอร์ ปัดฝุ่นหนังเก่าเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี
  5. GDH FUN FEST งานเทศกาลที่ลงทุนกว่า 10 ล้านบาท เอาใจแฟน ๆ หนัง GTH และ GDH
  6. เพื่อน(ไม่)สนิท หนังแนวรักวัยรุ่นที่ GDH ได้ร่วมทุนกับ Houseton Films
  7. PROJECT D (Working Title) หนังสะท้อนสังคมเรื่องของ LGBTQ ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกความท้าทายหนึ่งของ GDH

 

ทั้งหมดนี้ GDH คาดหวังรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า และหวังให้รายได้จากการนำภาพยนตร์ไปสู่ตลาดต่างประเทศแซงรายได้ในประเทศ จะเห็นได้ชัดว่า GDH มุ่งเน้นไปใช้กลยุทธ์อย่าง Diversification Strategy หรือกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้าใหม่รวมไปถึงการเจาะกลุ่มตลาดใหม่ ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีใช้งบประมาณในการลงทุนสูงและค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง แต่ GDH เองมีทรัพยากรในด้านต่าง ๆ ที่สามารถช่วยสนับสนุนรวมถึงพาร์ทเนอร์มาช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในตลาดใหม่ ๆ ได้ หากทุกอย่างลงตัวก็สามารถนำไปสู่ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวนั่นเอง

 

ช่องทางรายได้ของ GDH ที่สามารถสร้างกำไรให้กับธุรกิจ

  • รายได้หลักจากการขายตั๋วในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ 30%
  • รายได้จากนำภาพยนตร์ไปฉายต่างประเทศ 20%
  • รายได้จากการขายลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ไปเผยแพร่ยังช่องทางต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ 20%
  • การจัดจำหน่ายหนังของตนเอง
  • การรับจ้างโปรโมต

 

GDH มองเห็นถึงความสำคัญของการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์และการโปรโมตให้มัดใจคนในประเทศ เพราะเชื่อว่า การที่จะทำให้ภาพยนตร์สามารถเติบโตในต่างประเทศได้ จำเป็นต้อง win ในประเทศตัวเองก่อน  


  • 11
  •  
  •  
  •  
  •