เข้าสู่ปีใหม่แล้ว แต่การเติบโตและทิศทางการของน้องใหม่อย่าง “GET” กับบทบาทการเป็น On Demand App ในสนาม Food Delivery และ Ride-Hailing ในระยะเกือบ ๆ ปี ต้องยอมรับว่า GET เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่โดดเด่นและสามารถสร้างสีสันให้ตลาดได้ไม่น้อย แถมยังประกาศครบรอบ 10 ล้านเที่ยวเดินทาง จากการให้บริการ WIN และ FOOD ไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว
แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นตลอดปีที่ผ่านมานั้น เป็นเพียง “ความท้าทาย” ขั้นแรก เพราะ GET ยังต้องเดินหน้าและแข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่นต่อไป และท่ามกลาง “โอกาส” และ “เป้าหมายทางธุรกิจ” ที่รออยู่ข้างหน้า GET วางกลยุทธ์อย่างไร เพื่อแข่งขันภายในประเทศกับผู้เล่นรายอื่น และก้าวข้ามอุปสรรคอีกหลาย ๆ ประการไปพร้อมกัน
“แน่นอนว่า GET ยังเป็นธุรกิจแบบ Cash Burning (ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง) แต่ไม่ใช่แค่เราที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ และเราหวังและวางเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2563 อาจสร้างรายได้หรือมีกำไรจากธุรกิจบ้าง นั่นทำให้เราต้องมีกลยุทธ์ที่ดีเพื่อควบคุมต้นทุนและสร้างรายได้”
คุณภิญญา นิตยาเกษรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GET อธิบายถึงสถานการณ์และเป้าหมายของบริษัท และเล่าข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกว่า…
- สถิติปัจจุบันของ GET ในการจัดส่งอาหาร ใช้เวลาเฉลี่ย 19-20 นาทีต่อออเดอร์
- ไทย เป็นประเทศที่มี “ต้นทุน” การเดินทาง “สูง” เป็นอันดับ 2 ของภูมิภาค รองจากสิงคโปร์ เรื่องนี้จึงส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนในการให้บริการของ GET
- บริการ “GET Runner” เดินซื้อ-ส่งอาหารในรัศมี 1 กิโลเมตร ที่ GET เพิ่งทดลองให้บริการ จึงถือเป็นบริการที่ไร้ต้นทุนในการเดินทาง เพราะไม่ต้องใช้พาหนะและไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน และ GET เปิดกว้างให้ผู้ส่งเลือกรูปแบบเองว่าจะเดิน หรือใช้พาหนะที่ไม่มีต้นทุนค่าน้ำมันอย่างจักรยาน หรือสกูตเตอร์ ในการให้บริการ
สนใจใช้ “รถ 4 ล้อ” เสริมทัพบริการ แต่…!
ประเด็นที่หลายคนรอคอยว่า GET จะนำรถ 4 ล้อ เข้ามาให้บริการหรือไม่นั้น ผู้บริหาร GET ระบุว่า “สนใจ แต่บริการดังกล่าวยังไม่ถูกกฎหมายในประเทศไทย” หากได้รับการปลดล็อกให้เป็นบริการที่ถูกกฎหมายก็จะพิจารณานำมาให้บริการอย่างแน่นอน ในระหว่างนี้บริษัทจำเป็นต้องศึกษา Pain Point ของผู้บริโภคและผู้ขับขี่เนื่องจากเป็นบริการที่มีต้นทุนการเดินทางสูง เพื่อเลือกวิธีที่ทำให้ทั้ง 2 กลุ่มได้รับประโยชน์จากการให้บริการได้ดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาธุรกิจที่สามารถเติบโตได้อย่าง รถ 2 ล้อ ซึ่งมีต้นทุนการเดินทางต่ำกว่า
เติมเต็ม “ความต้องการ” ผู้บริโภคเพื่อมัดใจ
นอกจากการดึงดูดใจผู้บริโภคด้วยโปรโมชันค่าส่ง ค่าอาหาร GET ยังมุ่งพัฒนาบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคอย่าง GET Runner และปรับปรุงการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพราะเทรนด์การสั่งอาหารในปัจจุบัน “เปลี่ยน” จากเดิมที่เลือกสั่งเมนูดังจากร้านดัง แต่วันนี้ผู้บริโภคมองหาร้านอาหารใกล้ตัว เนื่องจากไม่อยากจ่ายค่าส่งราคาแพง ทำให้เกิดพฤติกรรมสั่งร่วมกันเพื่อแชร์ค่าส่ง ส่วนการเพิ่มพื้นที่ให้บริการไปยังต่างจังหวัดนั้น คาดว่าจะยังไม่เพิ่มพื้นที่ใหม่ ๆ ภายในปีนี้
ซุ่มพัฒนา “แอปใหม่” เพื่อร้านอาหาร – คนขับ
ไม่ใช่แค่โฟกัสความสำคัญไปที่ ผู้ขับ และผู้บริโภคเท่านั้น แต่ “ร้านอาหาร” ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักที่ GET ให้ความสำคัญและต้องการพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์ได้ดีขึ้น ทำให้ GET ยังเลือกที่จะมีร้านอาหารในระบบคงที่ 20,000 ร้าน และส่วนใหญ่เป็นร้านประเภทเอสเอ็มอี ซึ่งบริษัทจะเน้นการพัฒนาคุณภาพร้านและเพิ่มรายได้ให้ร้านอาหารมากกว่าขยายจำนวนร้าน
ส่วนคุณสมบัติของแอปใหม่ จะทำให้ร้านอาหารสามารถบริหารจัดการเมนู และออเดอร์ของตนเองได้โดยตรง จึงสามารถทำอาหารได้รวดเร็วขึ้น หรือแจ้งปรับเปลี่ยนเมนู หรือแจ้งหมด ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านระบบหลังบ้านของบริษัท เช่นเดียวกับแอปสำหรับผู้ขับ ที่จะมีการอัพเกรดให้ตอบสนองการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งจะมีระบบคาดการณ์ความต้องการใช้บริการและค่าตอบแทนจากการขับขี่ล่วงหน้าด้วย
เหยียบคันเร่งธุรกิจ “Sustainable Growth”
แม้ว่า GET จะสามารถมียอดดาวน์โหลดแอปแตะ 2 ล้านครั้งได้ในปีแรกที่เปิดให้บริการ มากกว่าเป้าหมายที่จะทะลุ 1 ล้านครั้งในปีแรก แต่เป้าหมายระยะยาวของ GET กลับเป็น “การเติบโตอย่างยั่งยืน” หรือ Sustainable Growth มากกว่า
ทำให้ 3 กลยุทธ์ที่ GET ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องในปี 2563 ถูกเทน้ำหนักไปยัง “ผู้ขับ ผู้บริโภค และร้านอาหาร” ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีและคุณภาพบริการเพื่อรับการเติบโตในปีนี้ โดยในปีที่ผ่านมา GET ได้คะแนนความพึงพอใจของผู้ใช้บริการอยู่ที่ 97% มีการเพิ่มจำนวนผู้ขับจาก 10,000 คน เป็นเกือบ 40,000 คนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่วนบริการใหม่ ๆ ที่รอเปิดตัวอย่าง GET PAY ก็เตรียมจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบภายในปีนี้ เพื่อขยายฐานผู้ใช้งานให้เพิ่มขึ้นอีกราว 1 ล้านคนในปีนี้
