คุณเคยได้ยินชื่อหรือใช้บริการ “Hertz” บ้างหรือเปล่า กับ “บริการรถเช่า” ซึ่งเป็นรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา แถมมีสาขาอยู่หลายร้อยประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย โดยมีรถยนต์พร้อมให้บริการกว่า 568,000 คัน แถมเมื่อช่วงต้นปีนี้ก็มีแฟรนไชส์มากถึง 12,400 แห่ง และแน่นอนว่า 1 ใน 3 ของ Hertz ให้บริการอยู่ในสนามบิน เกริ่นแบบนี้ คงพอเดากันได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของ Hertz
แน่นอนว่าสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบทางลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้กับธุรกิจของ Hertz จนถึงขั้น “ล้มละลาย” เหตุเพราะหลายคนมองแค่ธุรกิจสายการบินว่าเป็นผู้โชคร้ายที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากพิษ COVID-19 แต่ลืมนึกถึงธุรกิจรถเช่า ซึ่ง 2 ใน 3 ของรายได้มาจากลูกค้าที่ใช้บริการผ่านสนามบิน เมื่อการเดินทางด้วยเครื่องบินหายไป รายได้ธุรกิจรถเช่าก็หายตามไปด้วย โดยเฉพาะจากสนามบินสหรัฐอเมริกาซึ่งจำนวนผู้คนที่ผ่านจุดตรวจ TSA (จุดตรวจด้านความปลอดภัย) ลดลงถึง 94% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าบริษัทจะมีบริการให้เช่ารถยนต์ระหว่างซ่อมด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่สร้างรายได้ในช่วงนี้ เนื่องจากมาตรการ “ล็อกดาวน์” เป็นเหตุให้ผู้คนไม่ได้ออกเดินทาง และเมื่อไม่ได้เดินทางอุบัติเหตุบนท้องถนนก็ลดลง ไม่มีรถยนต์ต้องส่งซ่อม ลูกค้าในส่วนดังกล่าวก็หายไปโดยปริยาย
แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ Hertz ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทั้งยังเตรียม “แผนฟื้นฟูธุรกิจ” ไว้แล้ว โดยมองโอกาสจากการขายรถยนต์ที่มีอยู่ผ่านตลาดรถมือสอง และการเร่งสร้างรายได้เมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ รวมถึง การเข้าสู่กระบวนการล้มละลายซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางการเงินกลับมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจรถเช่า ก็ไม่ได้เกิดกับ Hertz เพียงรายเดียวหากแต่ส่งผลกระทบไปทั้งอุตสาหกรรม รวมถึงบริษัทผู้ลผลิตรถยนต์ทั่วโลก เพราะในปี 2019 บริษัทมีการจัดซื้อรถยนต์ใหม่เข้ามารองรับการให้บริการถึง 1.7 ล้านคัน คิดเป็น 10% ของการซื้อรถยนต์ใหม่ในสหรัฐอเมริกาทีเดียว และ Hertz ได้ประกาศว่าจะไม่ดำเนินการซื้อรถยนต์ใหม่ในช่วงนี้อีก ขณะเดียวกัน ก็เริ่มทยอยขายรถยนต์เป็นรถมือสองตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งพบว่ามียอดขายแล้วราว ๆ 50,000 คันจากในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
จะว่าไปก็เป็นเรื่องน่าเศร้า เพราะ Hertz ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1918 มีพนักงาน 38,000 คน ซึ่งมี 12,000 คนต้องตกงานและอีก 4,000 คนอยู่ในสถานะหยุดพักงานก่อน จากเดิมบริษัทเคยมีรายได้ถึงปีละ 9,800 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่วิกฤต COVID-19 รวมถึงปัจจัยการขาดทุนสะสม ทำให้ทุกวันนี้บริษัทมีหนิ้สินถึง 18,800 ล้านเหรียญทีเดียว
ที่มา : CNN Business
