แม้ทุกวันนี้เป็นยุค “AI” ที่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการทำงานต่างๆ ขององค์กรมากขึ้น แต่ถึงอย่างไร “มนุษย์” ก็ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปข้างหน้า และยิ่งทุกวันนี้ตลาดงานแข่งขันสูง ทั้งในฝั่ง “นายจ้าง” ต้องการดึงดูดและรักษา Talent อยู่กับองค์กร และฝั่ง “ผู้สมัครงาน” ก็ทำงานกับองค์กรที่ไม่ใช่แค่ตอบโจทย์ด้านเงินเดือนเท่านั้น หากแต่ยังต้องการงานที่มีความหมาย มีคุณค่า และองค์กรนั้นๆ ต้องมีความโปร่งใส มีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ
WorkVenture (เวิร์คเวนเจอร์) เปิดเทรนด์ “สร้างแบรนด์นายจ้างปี 2025” (Employer Branding 2025) ที่องค์กรไทยต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง โดยชี้ 3 เทรนด์ที่สำคัญ ได้แก่ การนำ ESG มาใช้ในกลยุทธ์สร้างแบรนด์นายจ้าง เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและจริยธรรมองค์กร พร้อมทั้งใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเล่าเรื่องราวพนักงานเพื่อเข้าถึงผู้สมัครงานรุ่นใหม่ และพัฒนา Employer Value Proposition (EVP) ที่ชัดเจนและตอบโจทย์ เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรคุณภาพให้อยู่กับองค์กร
“ในยุคที่ตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูง “แบรนด์นายจ้าง” ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องมือในการดึงดูดผู้สมัครงานอีกต่อไป แต่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถคัดเลือกบุคลากรคุณภาพ และรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรในระยะยาว ซึ่งในแต่ละปีจะมีเทรนด์ใหม่ ๆ ที่ช่วยสร้างแบรนด์นายจ้างให้เข้าไปอยู่ในใจผู้สมัครงานและพนักงาน หากองค์กรไม่ปรับตัวตามเทรนด์ อาจพลาดโอกาสที่จะดึงดูดคนเก่ง และต้องเผชิญกับความท้าทายในยุคที่พนักงานเลือกงานมากขึ้น เพราะในปัจจุบัน พนักงานไม่ได้เลือกงานจากเงินเดือนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป
โดย WorkVenture ได้ศึกษาการสร้างแบรนด์นายจ้างจากองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศในหลายอุตสาหกรรม พบว่าเทรนด์การสร้างแบรนด์นายจ้างในปี 2568 กำลังมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืน การสื่อสารองค์กรผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล และการพัฒนาด้าน Employer Value Proposition (EVP) คุณจีรวัฒน์ ตั้งบวรพิเชฐ ที่ปรึกษาอาวุโสด้านการสร้างแบรนด์องค์กรนายจ้าง” บริษัท เวิร์คเวนเจอร์ เทคโนโลจีส์ จำกัด ผู้ก่อตั้งและเจ้าของการสำรวจ 50 บริษัทที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด (Top 50 Companies in Thailand) ฉายภาพแนวโน้มการสร้างแบรนด์นายจ้างปีนี้

ผสาน ESG สร้างแบรนด์นายจ้าง: เทรนด์ที่กำลังมาแรงในไทย
การผสานแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) ในการสร้างแบรนด์นายจ้างมีความสำคัญมากขึ้นในปีนี้ เนื่องจากคนรุ่นใหม่ เช่น Millennials และ Gen Z ให้ความสำคัญกับคุณค่าที่องค์กรยึดถือ โดยเฉพาะเรื่องความยั่งยืนและจริยธรรม ซึ่งทำให้องค์กรที่มีการดำเนินงานตามหลัก ESG สามารถดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ได้มากขึ้น
“การที่คนรุ่นใหม่มองหางานในองค์กรที่มีจริยธรรมและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น องค์กรนายจ้างที่ผสาน ESG ในการดำเนินธุรกิจจึงมีความโดดเด่นในตลาดแรงงาน และกลายเป็น “Employer of Choice” ที่สะท้อนถึงคุณค่าและความเชื่อมั่นของพนักงานยุคใหม่ ขณะเดียวกันการนำ ESG เข้ามาผสานในกลยุทธ์องค์กรยังช่วยลดความเสี่ยง เช่น ความเสียหายจากภาพลักษณ์องค์กร หรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ด้วย” คุณจีรวัฒน์ ขยายความเพิ่มเติม
สื่อสารผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล: กลยุทธ์สำคัญสำหรับแบรนด์นายจ้าง
ในปี 2025 แพลตฟอร์มอย่าง Meta ( Facebook และ Instagram), YouTube และ TikTok จะกลายเป็นเครื่องมือหลักที่องค์กรไทยใช้ในการสร้างแบรนด์นายจ้าง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานรุ่นใหม่ที่ใช้โซเชียลมีเดียค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรและวัฒนธรรมการทำงาน
สำหรับการสร้างแบรนด์นายจ้างในปีนี้ควรมุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น การเล่าเรื่องราวของพนักงาน (Employee Storytelling) ซึ่งสะท้อนความเป็นจริงในองค์กร และช่วยสร้างความเชื่อมโยงกับผู้สมัครงานที่มีศักยภาพ รวมทั้งการเล่าเรื่องราวที่เน้นประสบการณ์ส่วนตัวของพนักงานจะช่วยให้องค์กรได้เปรียบในตลาดแรงงาน เพราะผู้สมัครงานมักต้องการทราบประสบการณ์ของคนในองค์กรผ่านเรื่องราวที่เข้าถึงง่าย
นอกจากนี้ วิดีโอสั้นที่สนุกและทันสมัย เช่น TikTok หรือ Reels จะมีบทบาทในการนำเสนอวัฒนธรรมองค์กร ขณะเดียวกัน การมีส่วนร่วมของพนักงานในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และสะท้อนความโปร่งใส
“พฤติกรรมการบริโภคสื่อดิจิทัลของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความจริงใจและความโปร่งใสจากองค์กร ทำให้แพลตฟอร์มดิจิทัลกลายเป็นตัวเร่งการสื่อสารแบบ Real–Time องค์กรสามารถปรับเนื้อหาให้ตรงกับเหตุการณ์หรือกระแสปัจจุบันได้อย่างรวดเร็ว การลงทุนในเนื้อหาที่เน้นการเล่าเรื่องราวผ่านดิจิทัลจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างแบรนด์นายจ้างที่โดดเด่น ช่วยดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ และสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยได้เป็นอย่างดี”
พัฒนา EVP: กุญแจสู่ความสำเร็จในตลาดแรงงาน
Employer Value Proposition หรือ EVP คือคำมั่นสัญญาขององค์กรที่สะท้อนถึงคุณค่าและประสบการณ์ที่พนักงานจะได้รับ ซึ่ง EVP ที่ชัดเจนและโดดเด่นไม่เพียงแต่จะดึงดูดผู้สมัครที่มีศักยภาพ แต่ยังช่วยสร้างความผูกพันกับพนักงานในระยะยาว ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในประเทศไทยที่องค์กรต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างองค์กร และวิสัยทัศน์องค์กร เช่น การเปลี่ยนผู้นำหรือการรีแบรนด์
คุณจีรวัฒน์ ฉายภาพว่า การแข่งขันในตลาดแรงงานและความต้องการ “งานที่มีความหมาย” ของคนรุ่นใหม่ ทำให้ EVP กลายเป็นประเด็นสำคัญ องค์กรชั้นนำเริ่มลงทุนเรื่อง EVP อย่างจริงจัง เช่น การใช้เรื่องเล่าจากพนักงาน (Employee Storytelling) ผ่านดิจิทัล เช่น LinkedIn หรือ TikTok เพื่อดึงดูดบุคลากรที่สอดคล้องกับค่านิยมองค์กร
“แนวทางด้าน EVP ที่องค์กรควรนำมาปรับใช้ในปีนี้ คือ การใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อพัฒนา EVP ให้กลายเป็น Strategic EVP ที่ทั้งตอบโจทย์ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย และยังสร้างความแข่งแกร่งด้านบุคลากรให้กับองค์กรได้อีกด้วย รวมถึงการสื่อสาร EVP อย่างโปร่งใสและเป็นจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มความผูกพันของพนักงาน หากองค์กรสามารถพัฒนา EVP ได้อย่างเหมาะสม จะสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันและดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพได้มากขึ้น”
เมื่อโลกของการทำงานในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลการสำรวจครั้งใหญ่ประจำปีล่าสุดจาก WorkVenture ยังเผยให้เห็นถึงความคาดหวังและความต้องการของทาเลนท์ไทยล่าสุดที่มีต่อองค์กรนายจ้าง ทั้งเรื่องของการตัดสินใจไปร่วมงานกับองค์กรใหม่ (Reasons to Join) และการเลือกที่จะอยู่และเติบโตกับองค์กรเดิม (Reasons to Grow)
เสียงที่สะท้อนกลับมาเป็นสิ่งที่องค์กรจะต้องนำมาวางกลยุทธ์และยกระดับพัฒนาประสบการณ์การทำงานให้กลายเป็นจุดขายในการสร้างแบรนด์องค์กรในฐานะนายจ้างให้แข่งขันได้ในตลาดแรงงานในปัจจุบันที่ทวีความรุนแรงและเข้มข้นมากยิ่งขึ้นในปี 2025 นี้
เปิดอินไซต์คนทำงานกับ 10 เหตุผลของการตัดสินใจเลือกองค์กร และ 10 เหตุผลที่อยากอยู่ต่อ
นอกจากนี้ WorkVenture ยังได้สำรวจอินไซต์ภาพรวมคนทำงานถึงเหตุผลที่นำมาพิจารณาตัดสินใจเลือกนายจ้างใหม่ หรือเลือกองค์กรใหม่ รวมทั้งเหตุผลที่ทำให้อยากอยู่ต่อ และอยากเติบโตไปกับองค์กร พบว่า
Top 10 ปัจจัยที่ผู้สมัครงานพิจารณาเลือกนายจ้างใหม่ ปี 2025
1. เงินเดือนที่แข่งขันได้ในตลาดงาน (Competitive salary)
2. สวัสดิการ (Benefits & Perks)
3. โอกาสเติบโตและความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Advancement)
4. ความมั่นคงในการทำงาน (Employment Stability)
5. ความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work Life Balance)
6. สถานที่ทำงาน / บรรยากาศการทำงาน (Office / Workplace)
7. การเป็นทีมและความร่วมมือต่อกัน (Teamwork / Collaboration)
8. ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism)
9. การเคารพให้เกียรติและเข้าอกเข้าใจต่อกัน (Respect / Empathy)
10. วัฒนธรรมองค์กร (Company Culture)
จาก 10 อันดับเหตุผลที่ผู้สมัครงานใช้ในการตัดสินใจร่วมงานกับองค์กรหนึ่งๆ นั้น แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานคือเรื่องของผลตอบแทน และสวัสดิการยังคงเป็นอันดับ 1 และ 2 โดยยังคงได้รับคะแนนความสำคัญเท่ากับปีที่แล้ว
แต่ที่น่าสนใจคือ เรื่อง โอกาสเติบโตและความก้าวหน้าในสายอาชีพ, ความมั่นคงในการทำงาน และเรื่องความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ได้รับความสำคัญอยู่ในอันดับต้นๆ 5 อันดับแรกที่คนทำงานจะต้องตัดสินใจเลือกนายจ้างใหม่
ขณะที่ Top 10 ปัจจัยที่ทำให้คนทำงานอยากอยู่ต่อและเติบโตไปกับองค์กร ในปี 2025
1. เงินเดือนที่แข่งขันในตลาดงานได้ (Competitive salary)
2. สวัสดิการ (Benefits & Perks)
3. สถานที่ทำงาน / บรรยากาศการทำงาน (Office / Workplace)
4. โอกาสเติบโตและความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Advancement)
5. ความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work Life Balance)
6. ความมั่นคงในการทำงาน (Employment Stability)
7. การเป็นทีมและความร่วมมือต่อกัน (Teamwork / Collaboration)
8. การเคารพให้เกียรติและเข้าอกเข้าใจต่อกัน (Respect / Empathy)
9. สภาพแวดล้อมการทำงานที่สร้างสรรค์ (Creative Environment)
10 การสื่อสาร (Communication)
จะเห็นได้ว่าเมื่อได้เข้าไปอยู่ในองค์กรแล้ว คนทำงานให้ความสำคัญกับเรื่องต่างๆ แตกต่างจากตอนเลือกก่อนเข้าหลายเรื่องด้วยกัน โดยในอันดับที่ 1 และ 2 ยังเป็นปัจจัยเรื่องของรายได้และสวัสดิการ โดยมีเรื่องของสำนักงานและสถานที่ทำงาน (Office / Workplace) มีอิทธิพลต่อคนทำงานมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่คนทำงานใช้เวลาในการทำงานรวมถึงสถานที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวกและบรรยากาศ มีความปลอดภัย สร้างแรงบันดาลใจ ยืดหยุ่นและหลากหลายเหมาะสมกับลักษณะงาน
นอกจากนี้เรื่องของสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์และคล่องตัวสูง (Creative / Dynamic Environment) เป็นตัวยืนยันอีกเรื่องหนึ่งที่สอดคล้องและสนับสนุน โดยได้รับความสำคัญมากขึ้นสูงที่สุดในปี 2025 นี้
เพราะการมีสภาพแวดล้อมที่สร้างสรรค์และมีความยืดหยุ่นสูงช่วยเสริมสร้างความรู้สึกท้าทายและแรงจูงใจในการทำงานได้ รวมถึงปัจจัยด้านการทำงานร่วมกันอย่างการเป็นทีมและความร่วมมือต่อกัน และการเคารพให้เกียรติและเข้าอกเข้าใจต่อกัน ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เข้ามาอยู่ในองค์กรแล้วและเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนทำงานอยากอยู่และเติบโตกับองค์กรนั้นต่อ
ไม่เพียงเท่านี้ ผลสำรวจ WorkVenture ยังได้เจาะลึก 10 เหตุผลที่นอกเหนือจากเรื่องเงินเดือน และสวัสดิการแล้ว มีเหตุผลสำคัญอะไรบ้างที่ทำให้คนทำงานอยากร่วมงานกับองค์กร พบว่า
1. โอกาสเติบโตและความก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Advancement)
2. ความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work Life Balance)
3. ความมั่นคงในการทำงาน (Employment Stability)
4. สถานที่ทำงาน / บรรยากาศการทำงาน (Office / Workplace)
5. การเคารพให้เกียรติและเข้าอกเข้าใจต่อกัน (Respect / Empathy)
6. ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism)
7. การเป็นทีมและความร่วมมือต่อกัน (Teamwork / Collaboration)
8. การฝึกอบรมและพัฒนาทักษะ (Training & Development)
9. การสื่อสาร (Communication)
10. วัฒนธรรมองค์กร (Company Culture)
นอกจากนี้ในการสำรวจประจำปี ได้มีการเผยผลการให้คะแนนล่าสุดจากคนทำงานที่รีวิวประสบการณ์ชีวิตการทำงานในองค์กร สิ่งที่นายจ้างยังคงทำได้ดีในสายตาของคนทำงาน หรือที่เรียกว่า Best Places To Work พบว่า 3 อันดับแรกคือ
1. เรื่องของความมั่นคงในการทำงาน (Employment Stability)
2. พันธกิจและปณิธานขององค์กร (Mission & Purpose)
3. เรื่องความหลากหลายและการยอมรับความแตกต่าง (Diversity & Inclusion)
ทางองค์กรนายจ้างจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงความพึงพอใจที่มีต่อการมอบประสบการณ์การทำงานในแง่มุมต่างๆให้กับคนทำงาน เพื่อทราบก็จะได้ทำการยกระดับพัฒนาประสบการณ์ในองค์กรให้กลายเป็นจุดแข็งและจุดขาย เพื่อที่จะได้ดึงดูด ดูแล และรักษาให้ Talent คนเก่งและคนดีมาอยู่กับองค์กรพร้อมเติบโตไปด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ก่อนหน้านี้ธุรกิจต่างให้ความสำคัญกับความพึงพอใจของลูกค้า ทุ่มเทและทุ่มทุนในการยกระดับประสบการณ์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่า แนวคิดนี้ได้กลับมาประยุกต์ใช้กับคนทำงานในองค์กรอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยให้ความสำคัญกับการหาตัวชี้วัดประสบการณ์เชิงบวกในองค์กรและนำมาพัฒนาปรับปรุงแก้ไขอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดทาเลนต์และรักษาบุคลากรคุณภาพให้สามารถแข่งขันได้ในภาวะที่ประชากรวัยทำงานเริ่มมีจำนวนลดน้อยลงจนต้องแย่งชิงกัน” คุณจีรวัฒน์ สรุปทิ้งท้าย