ประวัติศาสตร์และนิยามของความ Luxury

  • 12
  •  
  •  
  •  
  •  

 

เมื่อพูดถึง ‘Luxury’ ภาพของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Chanel, Hermès, Louis Vuitton และ Rolex อาจเป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดของหลายคน แต่นอกเหนือจากภาพลักษณ์ของความหรูหรา ความปราณีต และราคาสูงลิ่วแล้ว แบรนด์เหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของโลกอีกด้วย ตั้งแต่การกำหนดแนวโน้มแฟชั่น การสร้างค่านิยมให้แก่ผู้บริโภค ไปจนถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับมหภาค 

อุตสาหกรรมลักชัวรีจึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความฟุ่มเฟือยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยที่สะท้อนถึงรสนิยม สถานะทางสังคม และอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่แผ่ขยายไปไกลกว่าตัวสินค้าเอง

ประวัติศาสตร์ของความ Luxury 

ความลักชัวรีมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีและมักเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและชนชั้นทางสังคม หลักฐานแรกของความลักชัวรีปรากฏในอียิปต์โบราณ ผ่านเครื่องประดับ น้ำหอม สีสัน และสุนทรียศาสตร์ที่สะท้อนออกมาในรูปของเครื่องประดับล้ำค่าและรูปปั้นอันวิจิตร ความหรูหราในยุคนั้นเป็นอภิสิทธิ์ที่สงวนไว้สำหรับเทพเจ้า ฟาโรห์ นักบวช และครอบครัวของพวกเขา

ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ความลักชัวรีได้ขยายไปสู่ผ้าล้ำค่า ลูกไม้ ผ้าไหม และเครื่องทอง อุตสาหกรรมหรูหราเริ่มพัฒนาอย่างแท้จริงในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส และรัฐมนตรีคลัง ฌอง-แบปติสต์ โกลแบร์ (Jean-Baptiste Colbert) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 โดยในปี 1662 ได้ก่อตั้งโรงงานผลิตสิ่งทอ Manufacture des Gobelins และต่อมาในปี 1665 ได้ก่อตั้ง Manufacture royale des glaces ซึ่งต่อมากลายเป็นบริษัทแซงต์-โกแบ็ง (Compagnie de Saint-Gobain) 

โรงงานเหล่านี้ได้รวบรวมช่างฝีมือและนักออกแบบที่ยอดเยี่ยมที่สุด เพื่อพัฒนาเทคนิคการผลิตที่มีเอกลักษณ์และเป็นที่ต้องการอย่างสูง ฝรั่งเศสจึงกลายเป็นศูนย์กลางของความความลักชัวรี ผลิตภัณฑ์อย่างกระจกเงา พรมทอมือ และเครื่องลายคราม กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเชี่ยวชาญด้านหัตถศิลป์ของฝรั่งเศส ซึ่งค่อยๆ สร้างรากฐานของความลักชัวรีที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

ความลักชัวรีในรูปแบบที่เรารู้จักกันทุกวันนี้เริ่มปรากฏขึ้นในศตวรรษที่ 19 และ 20 พร้อมกับการก่อตั้งแฟชั่นเฮาส์ โดยมี ชาร์ลส์ เฟรเดอริก เวิร์ธ (Charles Frederick Worth) ช่างเสื้อชาวอังกฤษ เป็นผู้บุกเบิกในวงการแฟชั่นระดับสูง (Haute Couture) 

ในช่วงเวลานั้น นักออกแบบแฟชั่นทำงานตามคำสั่งของลูกค้าแต่ละรายโดยไม่มีคอลเลกชันเป็นของตัวเอง เวิร์ธ ซึ่งมีฐานอยู่ที่ปารีส ได้นำเสนอแนวคิดใหม่โดยการจัดแสดงผลงานของเขาในงานแสดงสินค้าระดับโลก และจัดแฟชั่นโชว์ครั้งแรก คอลเลกชันของเขาถูกเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของแฟชั่นสปริง/ซัมเมอร์ และออทั่ม/วินเทอร์ ซึ่งยังคงเป็นมาตรฐานในปฏิทินแฟชั่นวีคจนถึงทุกวันนี้ ถือเป็นนวัตกรรมสำคัญและแนวคิดที่พลิกโฉมประวัติศาสตร์ของความหรูหราและแฟชั่นไปอย่างสิ้นเชิง

ภาพ: chanelofficial

ความ Luxury คืออะไร?

เมื่อพูดถึงลักชัวรี แบรนด์ที่มักจะผุดขึ้นมาในความคิดของหลายคนอาจเป็น Chanel, Hermès, Louis Vuitton และ Gucci แบรนด์เหล่านี้สร้างชื่อเสียงจากการเป็นสุดยอดของความหรูหรา สัญลักษณ์แห่งสไตล์ คุณภาพ และความประณีต

โลโก้ของพวกเขากลายเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่น สินค้าเป็นที่ต้องการอย่างมาก และราคาก็สูงลิ่ว การสวมใส่หรือครอบครองสินค้าจากแบรนด์เหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของสถานะ แสดงให้โลกรู้ว่าคุณมีรสนิยม มีสไตล์ และมีกำลังซื้อ

แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้มีความพิเศษจริงๆ คืออะไร? ทำไม Chanel จึงเป็นที่ต้องการมากกว่า H&M? ทำไม Rolex จึงมีเสน่ห์มากกว่า Timex? และทำไม Gucci จึงมีอิทธิพลมากกว่า Gap? ทำไมผู้คนถึงยอมรอเป็นเดือนหรือเป็นปีเพื่อให้ได้ครอบครองกระเป๋า Birkin หรือรองเท้าของ Christian Louboutin?

เราจะมาดูคุณสมบัติสำคัญ 5 ประการที่แบรนด์ลักชัวรีทุกแบรนด์ควรมี และดูว่าแบรนด์ระดับโลกเหล่านี้วัดระดับความเป็น ‘ลักชัวรี’ อย่างไร

1. ความใส่ใจในงานฝีมือและคุณภาพ

แบรนด์ลักชัวรีเป็นสัญลักษณ์ของ ‘คุณภาพ’ และ ‘งานฝีมือ’ สินค้าของพวกเขาถูกสร้างขึ้นจากวัสดุที่ดีที่สุด และผลิตขึ้นด้วยความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ทำให้สินค้ามีความคงทนและเหนือระดับ

ตัวอย่างเช่น Hermès ใช้การเย็บมือในกระเป๋าหนังทุกใบ และ Cartier ใช้การเจียระไนเพชรด้วยมือเพื่อให้ได้ประกายที่สมบูรณ์แบบ แบรนด์เหล่านี้ทำงานร่วมกับช่างฝีมือที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมของตน ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าของพวกเขาจะได้มาตรฐานสูงสุด

ในยุคของ Fast Fashion และสินค้าที่ใช้แล้วทิ้ง แบรนด์ลักชัวรีนำเสนอทางเลือกที่แตกต่าง พวกเขาเป็นเครื่องเตือนใจว่า ไม่ใช่สินค้าทุกชิ้นจะมีคุณค่าเท่ากัน บางสิ่งบางอย่างควรค่าแก่การลงทุนและสามารถเก็บรักษาไปได้ตลอดชีวิต

2. ประวัติศาสตร์และมรดกอันยาวนาน

แบรนด์ลักชัวรีที่ประสบความสำเร็จมักมีรากฐานมาจาก ‘ประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรม’ พวกเขามีเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้มีคุณค่า

บางแบรนด์มีต้นกำเนิดจากผู้ก่อตั้งที่มีความสามารถพิเศษ เช่น Thierry Hermès ผู้เริ่มต้นจากการเป็นช่างทำอานม้าสำหรับจักรพรรดินี Eugénie แห่งฝรั่งเศส หรือ Louis-François Cartier ช่างทำเครื่องประดับที่ได้รับความนิยมจากราชวงศ์ยุโรป

นอกจากนี้ บางแบรนด์ยังมีผลิตภัณฑ์ระดับตำนานที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ เช่น รองเท้า Gucci ‘Horsebit’ loafers ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1950 และยังคงเป็นสินค้าขายดี หรือกระเป๋า Chanel แบบ Quilted ที่ Coco Chanel ออกแบบมาตั้งแต่ปี 1950

เรื่องราวเหล่านี้ถูกเล่าซ้ำและขยายความจนกลายเป็นตำนาน ช่วยเพิ่มคุณค่าและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์

ภาพ: burberry

3. การบริการที่เหนือระดับ

แบรนด์ลักชัวรีมีชื่อเสียงในการให้บริการระดับสูง พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด และมักจะเกินความคาดหมาย

บริการที่ยอดเยี่ยมมักจะมาพร้อมกับ ‘ความใส่ใจในรายละเอียด’ เช่น การมีผู้ช่วยช้อปปิ้งส่วนตัว (Personal Shopper) การให้บริการจัดส่งฟรี หรือแม้กระทั่งบริการคอนเซียร์จ (Concierge Service) ที่ช่วยจองร้านอาหารหรือหาตั๋วชมการแสดง

นอกจากนี้ แบรนด์ลักชัวรียังตอบสนองต่อลูกค้าอย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของลูกค้าในระดับสูงสุด

4. ความเอ็กซ์คลูซีฟ (Exclusivity)

ความหายากเป็นองค์ประกอบสำคัญของความหรูหรา แบรนด์ลักชัวรีทำให้สินค้าของพวกเขาเป็นที่ต้องการมากขึ้นโดยการ ‘จำกัดจำนวน’ เช่น Hermès ผลิตกระเป๋า Birkin เพียง 12,000 ใบต่อปี ทำให้กลายเป็นไอเท็มที่หลายคนใฝ่ฝันถึง

อีกวิธีที่สร้างความพิเศษคือ ‘การตั้งราคาสูง’ สินค้าลักชัวรีมีราคาแพงมาก ซึ่งช่วยคัดกรองลูกค้าให้เป็นเฉพาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อและเข้าใจคุณค่าของแบรนด์

นอกจากนี้ แบรนด์ลักชัวรียังสร้าง ‘ภาพลักษณ์ของชนชั้นสูง’ โดยมักใช้คนดังและเซเลบริตี้เป็นตัวแทนแบรนด์ ทำให้สินค้าดูเป็นของเฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่มีสถานะสูงในสังคม

5. มูลค่าทางสัญลักษณ์ (Symbolic Value)

แบรนด์ลักชัวรีไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ขาย ‘ค่านิยมและไลฟ์สไตล์’ ที่พวกเขาเป็นตัวแทน

ตัวอย่างเช่น Rolls-Royce และ Bentley เป็นตัวแทนของความหรูหราแบบอังกฤษ ที่เชื่อมโยงกับอำนาจและความมั่งคั่ง ในขณะที่ Hermès และ Louis Vuitton เป็นตัวแทนของความหรูหราสไตล์ฝรั่งเศส ที่สะท้อนถึงความปราณีตและความสง่างาม

ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อสินค้าลักชัวรีเพียงเพราะต้องการของชิ้นนั้น แต่พวกเขาต้องการ ‘เป็นส่วนหนึ่งของคุณค่าที่แบรนด์เป็นตัวแทน’ นี่คือเหตุผลที่หลายคนยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ได้ครอบครองสิ่งที่มากกว่าสินค้า—แต่เป็น ‘สัญลักษณ์ของสถานะและความสำเร็จ’

ภาพ: tiffanyandco

12 แบรนด์หรูที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

แบรนด์ลักชัวรีหลายแบรนด์มีประวัติอันยาวนานนับศตวรรษ ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ยังคงรักษาการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่สะท้อนถึงสไตล์ ความสง่างาม และความเป็นเอกสิทธิ์ไว้ได้ ต่อไปนี้คือแบรนด์หรูที่เก่าแก่และทรงเกียรติที่สุดในโลก โดยเรียงตามปีที่ก่อตั้ง

1. Hermès (1837, ฝรั่งเศส)

ก่อตั้งขึ้นในปี 1837 โดย Thierry Hermès Hermès เริ่มต้นจากการเป็นเวิร์กช็อปเครื่องหนังสำหรับอานม้าในปารีส ผลิตอานม้าและอุปกรณ์สำหรับชนชั้นสูงในยุโรป ต่อมาแบรนด์ได้ขยายไปสู่สินค้าเครื่องหนังแฟชั่นและของตกแต่งบ้าน ทุกวันนี้ Hermès มีชื่อเสียงในเรื่องกระเป๋า Birkin และ Kelly ผ้าพันคอไหม และงานฝีมือที่ยอดเยี่ยม

รู้หรือไม่? กระเป๋า Birkin ซึ่งเป็นกระเป๋าหรูที่โด่งดังที่สุดใบหนึ่ง ตั้งชื่อตามนักแสดงหญิง Jane Birkin และเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา

2. Tiffany & Co. (1837, สหรัฐอเมริกา)

Charles Lewis Tiffany ก่อตั้ง Tiffany & Co. เป็นร้านเครื่องเขียนและสินค้าหรูหราในนิวยอร์กซิตี้ แบรนด์นี้ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่างรวดเร็วจากฝีมือการทำเครื่องเงินที่ยอดเยี่ยม โดยคว้ารางวัลจากงาน World’s Fair ที่ปารีสในปี 1867 สี Tiffany Blue ซึ่งเป็นสีเอกลักษณ์ของแบรนด์ ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1940 และเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องประดับสุดหรู

รู้หรือไม่? แหวนหมั้น Tiffany Setting ซึ่งเปิดตัวในปี 1886 ได้ปฏิวัติวิธีการตั้งเพชรให้อยู่บนตัวเรือนแหวน

ภาพ: cartier

3. Cartier (1847, ฝรั่งเศส)

Louis-François Cartier ก่อตั้งแบรนด์ Cartier ในปารีสในปี 1847 Cartier เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตเครื่องประดับและนาฬิกาสุดหรู ได้รับความนิยมจากราชวงศ์และคนดัง แบรนด์นี้ได้เปิดตัวสินค้าสุดไอคอน เช่น นาฬิกาข้อมือ Santos (1904) นาฬิกา Tank (1917) และกำไล Love

รู้หรือไม่? Cartier เป็นหนึ่งในแบรนด์แรกที่ช่วยให้การใส่นาฬิกาข้อมือเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ชาย โดยออกแบบนาฬิกา Santos สำหรับนักบิน Alberto Santos-Dumont

4. Omega (1848, สวิตเซอร์แลนด์)

ก่อตั้งโดย Louis Brandt ในเมือง La Chaux-de-Fonds Omega ได้กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนาฬิกาความเที่ยงตรงสูง Omega เป็นผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการของโอลิมปิกและเกี่ยวข้องกับโครงการลงจอดบนดวงจันทร์ของ NASA ในปี 1969

รู้หรือไม่? นาฬิกา Omega ได้ถูกสวมใส่โดยนักบินอวกาศทุกคนที่เข้าร่วมภารกิจดวงจันทร์ของ NASA

ภาพ: louisvuitton

5. Louis Vuitton (1854, ฝรั่งเศส)

Louis Vuitton เปิดร้านแรกของเขาในปารีส โดยเชี่ยวชาญด้านกระเป๋าเดินทางที่ทำด้วยมือ เขาได้คิดค้นกระเป๋าเดินทางฝาเรียบที่สามารถวางซ้อนกันได้ ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นการเดินทาง ลาย Monogram ที่เปิดตัวในปี 1896 กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของโลกแฟชั่น

รู้หรือไม่? หีบเดินทางของ Louis Vuitton เป็นรุ่นแรกที่มีระบบล็อกแบบจดสิทธิบัตร ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกขโมย

6. Burberry (1856, อังกฤษ)

Thomas Burberry ก่อตั้ง Burberry ในเมือง Basingstoke โดยเริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์เสื้อกันฝนสำหรับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนของอังกฤษ ในปี 1879 Burberry ได้คิดค้นผ้าแกบาร์ดีน ซึ่งเป็นผ้าที่กันน้ำและทนทานสูง ทุกวันนี้ Burberry เป็นที่รู้จักจากเสื้อโค้ตกันฝนและลายตารางอันเป็นเอกลักษณ์

รู้หรือไม่? Burberry ได้จัดหาเสื้อโค้ตสำหรับทหารอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ ‘Trench Coat’

7. Bvlgari (1884, อิตาลี)

ช่างเงินชาวกรีก Sotirios Voulgaris ก่อตั้ง Bvlgari ในกรุงโรม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมโรมันโบราณ แบรนด์นี้เป็นที่รู้จักจากการออกแบบเครื่องประดับที่โดดเด่น นาฬิกาหรูหรา และลวดลายงู Serpenti อันเป็นเอกลักษณ์ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Bvlgari ได้ขยายไปสู่ธุรกิจน้ำหอมและเครื่องหนัง

รู้หรือไม่? น้ำหอมขวดแรกของ Bvlgari เปิดตัวในช่วงทศวรรษที่ 1930 ถือเป็นก้าวแรกของแบรนด์ที่ขยายไปไกลกว่าธุรกิจเครื่องประดับ

8.  Rolex (1905, สวิตเซอร์แลนด์)

Hans Wilsdorf ก่อตั้ง Rolex ในลอนดอนก่อนจะย้ายไปยังเจนีวา Rolex เป็นแบรนด์แรกที่ได้รับใบรับรองความเที่ยงตรงของนาฬิกาข้อมือในปี 1910 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Rolex ได้เปิดตัวนวัตกรรมสำคัญมากมาย รวมถึงนาฬิกาข้อมือกันน้ำเรือนแรก (Oyster) และนาฬิกาข้อมือที่สามารถเปลี่ยนวันที่อัตโนมัติได้เรือนแรก (Datejust)

รู้หรือไม่? นาฬิกา Rolex ถูกใช้ในการสำรวจใต้ทะเลลึกและยังถูกสวมใส่บนยอดเขาเอเวอเรสต์

9. Chanel (1909, ฝรั่งเศส)

Coco Chanel ก่อตั้งแบรนด์ของเธอในปารีสเมื่อปี 1909 และปฏิวัติวงการแฟชั่นสตรีด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและสวมใส่สบาย เธอทำให้ชุดเดรสสีดำตัวเล็ก (Little Black Dress) และชุดสูท Chanel กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกการใช้ผ้าจอร์เจียในเสื้อผ้า ปัจจุบัน Chanel เป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลที่สุด เป็นที่รู้จักในด้านเสื้อผ้าชั้นสูง น้ำหอม และเครื่องประดับหรู

รู้หรือไม่? Chanel No. 5 ซึ่งเปิดตัวในปี 1921 เป็นหนึ่งในน้ำหอมที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์

ภาพ: prada

10. Prada (1913, อิตาลี)

Mario Prada ก่อตั้ง Prada ในฐานะร้านขายเครื่องหนังในมิลาน แบรนด์นี้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติจากงานฝีมือคุณภาพสูงและสไตล์ที่เรียบหรู Prada มีบทบาทสำคัญในการผลักดันกระแสแฟชั่นมินิมอลในยุค 1990 และยังคงเป็นผู้นำในวงการแฟชั่นร่วมสมัย

รู้หรือไม่? Miuccia Prada หลานสาวของ Mario Prada ได้เปลี่ยนแบรนด์ให้กลายเป็นอาณาจักรแฟชั่นระดับโลกในช่วงทศวรรษที่ 1980

11. Balenciaga (1917, สเปน)

Cristóbal Balenciaga ก่อตั้งแบรนด์ของเขาในเมืองซานเซบาสเตียน ประเทศสเปน แต่ต้องย้ายไปปารีสเนื่องจากสงครามกลางเมืองสเปน Balenciaga เป็นที่รู้จักจากการออกแบบที่ล้ำยุคและโครงสร้างเสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ เขาได้ปฏิวัติวงการแฟชั่นสตรีด้วยซิลูเอตที่แปลกใหม่และเทคนิคการตัดเย็บที่สร้างสรรค์

รู้หรือไม่? ปัจจุบัน Balenciaga เป็นผู้นำด้านแฟชั่นแนวล้ำสมัยและการออกแบบที่ท้าทายขนบธรรมเนียม ภายใต้การนำของ Demna Gvasalia

ภาพ: gucci

12. Gucci (1921, อิตาลี)

Guccio Gucci ก่อตั้ง Gucci ในเมืองฟลอเรนซ์ โดยเริ่มจากการผลิตกระเป๋าเดินทางหนังคุณภาพสูง แถบสีเขียว-แดง-เขียว และโลโก้ตัว G สองตัวของ Gucci กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา ปัจจุบัน Gucci เป็นหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์และแนวคิดการออกแบบที่แหวกแนว

รู้หรือไม่? โลโก้ตัว G สองตัวของ Gucci ถูกออกแบบโดย Aldo Gucci บุตรชายของ Guccio Gucci และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เป็นที่จดจำมากที่สุดในประวัติศาสตร์แฟชั่น

 

ที่มา:

www.budgetair.com

www.oldest.org 

www.supdeluxe.com

www.socreative.co.uk

ikon.london

www.glion.edu

 


  • 12
  •  
  •  
  •  
  •