“ในอนาคต AI จะอันตรายกว่านิวเคลียร์” หนึ่งประโยคสุดอิมแพคจาก Elon Musk ที่สะกิดให้ทั่วโลกต้องหยุดฟัง

  • 2.3K
  •  
  •  
  •  
  •  

20170714002403_sm_getty

หลายปีที่ผ่านมาเรามักเห็น Elon Musk ออกมาพูดถึง ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะปีที่แล้วประเด็นจากปากเขาที่สร้างเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยเลยคือเรื่อง ‘มนุษย์ AI’ เขาเชื่อว่าวันหนึ่งในอนาคต มนุษย์ กับ AI ควรจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยหนึ่งในบทสัมภาษณ์ของเขากล่าวว่า “ผมคิดว่าเราสามารถเชื่อมต่อกับ AI ได้ โดยพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงมันกับโครงข่ายประสาทในสมองคุณ นั่นจะทำให้คุณกลายเป็น AI-human symbiote โดยสมบูรณ์” แนวคิดนี้มาได้ยังไง เขาบ้ารึเปล่า? อันที่จริง Elon Musk คือคนที่อยู่กับการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้มาตลอดชีวิต

 

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า AI คืออะไร…อธิบายสั้นๆว่ามันคือการสร้างความฉลาดให้กับสิ่งไม่มีชีวิต เหมือนสร้างหุ่นยนต์โดยใช้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมเป็นหลัก นึกถึงหนังหุ่นยนต์ฉลาดๆอย่าง ในเรื่อง i-Robot, จาร์วิสจาก Iron Man หรือแม้แต่ ‘ซาแมนธา’ จากเรื่อง Her ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นหุ่นแบบมีบอดี้เหมือนคน  AI จะอยู่ในรูปของอะไรก็ได้ ของใช้ ยานพาหนะ อุปกรณ์อิเลคทรอนิคต่างๆที่ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ 

MW-FQ349_elon07_20170716163110_ZH

Reuters

ช่วง 2 ปีมานี้ ถ้าเสิร์ชชื่อ Elon Musk ข่าวที่คุณจะเห็นผ่านตาบ่อยๆนอกเหนือจากเรื่องผลงานต่างๆของเขา คือข่าวที่เขาออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับ AI มัสก์เชื่อว่าวันหนึ่งในอนาคต AI จะถูกพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าจนเป็นภัยต่อมนุษย์ เพราะถึงจุดนึง AI จะสามารถพัฒนาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ความสามารถของ AI ในปัจจุบัน พัฒนาไปถึงกระบวนการ Deep Learning คือการจำลองเครือข่ายระบบประสาทแบบเดียวกับสมองของคน เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเอง ประมวลผลข้อมูลได้ทีละมากๆ ว่าง่ายๆ คือมันทำงานเหมือนสมองคน 

แต่ในทางกลับกัน AI ก็สร้างประโยชน์ให้กับมวลมนุษย์ไม่น้อย หลายอุตสาหกรรมใหญ่ในโลกต้องพึ่งพาระบบ AI  แต่ถ้าจะยกตัวอย่างระบบ AI ใกล้ตัวคุณง่ายๆก็เช่น ระบบจดจำใบหน้าและแท็กรูปอัตโนมัติบนเฟซบุ๊ค หรือจะเป็น  Siri ใน iPhone  แน่นอนว่า AI มีประโยชน์มากพอทีจะทำให้หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกอย่าง Google, Microsoft, Facebook ต่างทุ่มงบวิจัยและพัฒนา AI กันอย่างไม่มีใครยอมใคร

 

“… ความสามารถของ AI ในปัจจุบัน พัฒนาไปถึงกระบวนการ Deep Learning คือการจำลองเครือข่ายระบบประสาทแบบเดียวกับสมองของคน…”

 

ภายใน 20 ปี โลกจะเปลี่ยนเข้าสู่ยุค ‘ยนตกรรมหุ่นยนต์’

ในงานประชุมสมาพันธ์ผู้ว่าการรัฐแห่งสหรัฐอเมริกาที่รัฐโรดไอแลนด์ ที่เพิ่งจบไปเมื่อ 3 วันก่อน ‘อีลอน มัสก์’ ได้ชูประเด็นใหญ่เกี่ยวกับภัยของ AI ที่จะเป็นอันตรายต่ออารยธรรมมนุษย์ภายในช่วงเวลาไม่เกิน 20 ปี แม้ตอนนี้จะมีผลิตภัณฑ์ล้ำยุคใหม่ๆอยู่ในตลาดโลกเพียง 5% และหลายชนิดยังเป็น prototype ต้นแบบ แต่มักส์วิเคราะห์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้ายานยนต์ครึ่งต่อครึ่งจะเป็นยานยนต์แบบไร้คนขับและทำงานด้วยระบบไฟฟ้า และในอีก 20 ปีข้างหน้า พวงมาลัยรถจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ซึ่งบริษัท Tesla Motors ของมักส์เองก็พยายามพัฒนายนตกรรมไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงโครงการ SpaceX ที่จะพาชาวโลกไปสร้างอารยธรรมใหม่บนดาวอังคาร มักส์รู้ดีถึงศักยภาพอันทรงพลังของปัญญาประดิษฐ์เพราะคลุกคลีอยู่กับมันมานานและต่อเนื่อง มักส์แนะนำและเสนอให้รัฐบาลตระหนักถึงเรื่องนี้พยายามหาทางควบคุม AI  เพื่อรักษาอารยธรรมมนุษย์เอาไว้ให้ได้ในอนาคต

อันที่จริงไม่ใช่แค่มักส์ แต่ ‘สตีเฟ่น ฮอวค์คิ่ง’ เคยคาดการณ์ไว้ว่าวันหนึ่งในอนาคต ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI จะเข้ามามีบทบาทกับคนทั้งโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่เมื่อถึงยุคนึงมนุษยชาติอาจจะถึงจุดจบ เหตุผลเพราะ เมื่อ AI เหล่านี้ถูกพัฒนาไปจนถึงขีดสุด มันจะไม่ต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อไป ที่น่าสนใจคือ ฮอวค์คิ่ง นั้นคลุกคลีกับ AI ตลอดเวลา ด้วยร่างกายที่เป็นอัมพาตทำให้เขาต้องใช้ AI ช่วยในการสื่อสาร หรือแม้แต่ ‘บิล เกตส์’ เองก็ยังออกมาแสดงความกังวลถึงอนาคตของ AI เพราะไมโครซอฟต์ก็กำลังวิจัยและพัฒนา AI อยู่ด้วยเช่นกัน 

สังเกตได้ว่าบุคคลที่ออกมาแสดงความกังวลว่าในอนาคต AI อาจเป็นภัยคุกคามมนุษย์ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่คลุกคลีและกำลังศึกษาวิจัย AI กันแทบทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้ดีถึงศักยภาพของ AI และคาดการณ์กันไปถึงอนาคต

 

YourStory-OpenAI

“AI จะเข้ามามีบทบาทกับคนทั้งโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์”

 

“AI อันตรายกว่านิวเคลียร์” เว่อร์ไปรึเปล่า?

ประโยคนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ‘อีลอน มัสก์’ ทวีตประโยคนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2014 หลังจากได้อ่านหนังสือ Superintelligence ที่เขียนโดย Nick Bostrom ตอนนั้น  AI ยังไม่ได้ถูกพัฒนาให้ล้ำไปถึงกระบวนการ Deep Learning เลยด้วยซ้ำ ซึ่งแม้นิวเคลียส์จะมีพลังทำลายล้างสูง ล้างบางได้ในไม่กี่วินาที แต่ก็ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆในยุคที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของแต่ละประเทศต่างเฝ้าระวังกันและกัน (มีคุกรุ่นให้เสียววาบกันบ้างในบางประเทศ)

Screen-Shot-2558-07-17-at-11.42.11-AM

 

แต่ AI นั้นอยู่ในชีวิตประจำวันมนุษย์โดยที่เราเองก็อาจไม่ได้คิดเฉลียวใจ (หลายคนอาจจะคิดว่า แหม่…มันจะมาคุกคามอะไรเรา แบตหมดก็ทำไรไม่ได้แล้ว) แต่หลายเหตุการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมาก็เป็นเสมือนสัญญาณบอกให้เรารู้ว่า AI ทรานส์ฟอร์มไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันคนได้อย่างไร้รอยต่อ เราไม่รู้สึกถึงการมาของมันด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมโฆษณา อุตสาหกรรมการออกแบบ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุปกรณ์ไอทีหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ฯลฯ จนมีประเด็นที่ทอล์กกันอยู่บ่อยครั้งว่า ‘หุ่นยนต์จะแย่งงานมนุษย์’

เมื่อเมษายนที่ผ่านมางาน AdvertisingWeek ที่ถูกจัดในยุโรปได้ยก AI ให้เป็นหนึ่งในเทรนด์สำคัญของโลก  โดยมีการกล่าวถึง AI ที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันโดยที่ผู้ใช้มันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังใช้ AI อยู่  เช่น การทำงานของ App Amazon หรือ App Google Now และใน Siri เองก็ตาม

 

Matt Bush หนึ่งใน Director ของ Google ได้พูดถึงอนาคตของ AI ในงาน AdvertisingWeek ว่ากำลังอยู่ในขั้นพัฒนาเครื่องจักรให้เรียนรู้ด้วยตัวมันเอง พัฒนาความฉลาดตัวเองได้และเข้าใจในสิ่งที่ทำโดยไม่ต้องมีมนุษย์สั่งงาน เช่น การที่หุ่นยนต์เข้าใจเรื่องแสปมและกรองอีเมลให้เราได้ดีขึ้น (อ่านบทความความฉบับเต็ม ต่อได้ ที่นี่) แวดวงแบรนด์มาร์เก็ตติ้ง และแวดวงโฆษณาทั่วโลกต่างมุ่งให้ความสนใจกับ AI เพราะสามารถพัฒนาให้กลายเป็นเครื่องมือในการ customize กลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำมากขึ้น และยังมีประโยชน์อีกหลายอย่างที่รอให้ค้นพบ

 

เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา LINE ก็เป็นตัวผลิตภัณฑ์ AI ของตัวเองในงาน Mobile World Congress ณ เมืองบาร์เซโลน่า ผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้คือ Clova ย่อมาจาก Cloud Virtual Assistant หรือผู้ช่วยเสมือนจริงระบบคลาวด์ เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง LINE และ NAVER ผู้ให้บริการ seach portal ชั้นนำของเกาหลีใต้ Clova ถือเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ และก้าวสำคัญของการพัฒนาระบบผู้ช่วยดิจิทัลของผู้ใช้งานทั่วโลก ครบครันด้วยประโยชน์การใช้สอยและการเชื่อมต่อที่ดีกว่าที่เคยมีมา ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี จนอาจจะพลิกโฉมการใช้ชีวิตของผู้ใช้งานไปอย่างสิ้นเชิงในอนาคต

 

ที่เรายกตัวอย่างมาข้างต้นก็เพื่อให้คุณพอเห็นภาพได้ว่า AI มันจะเข้ามาอยู่ในชีวิตคนได้ยังไง แล้วมักส์จะกังวลทำไม ในเมื่อมันให้ประโยชน์ได้ขนาดนี้? อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ล้ำยุคใหม่ๆอยู่ในตลาดโลกเพียง 5% และหลายชนิดยังเป็น prototype ต้นแบบ แต่หลายบริษัทใหญ่ในโลกก็กำลังทุ่มเทวิจัยและพัฒนา AI กันอย่างไม่หยุดยั้งเพราะประโยชน์ของ AI ก็มีมากเกินจะบรรยายได้หมด 

ซึ่งก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้แน่ชัดว่า ความก้าวล้ำของปัญญาประดิษฐ์จะเป็นภัยต่อมนุษย์ในลักษณะไหน ตัวมักส์เองก็ยังตอบไม่ได้  แน่นอนว่าอาจจะไม่ถึงขั้นมีหุ่นยนต์ออกมาเดินฆ่าคนแบบในหนัง แต่หากวันหนึ่งที่การพัฒนา AI ก้าวไปถึงขั้นที่ทำงานได้เหมือนสมองมนุษย์แบบสมบูรณ์แบบ (ตอนนี้พัฒนาให้เป็นแบบนั้นอยู่) AI อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์อีกต่อ พูดให้เวอร์หน่อยแต่เห็นภาพชัดขึ้นคือ AI อาจปิดกั้นระบบไม่ให้มนุษย์ควบคุมมันได้อีกต่อไป เหมือนเป็น ‘ดาบสองคม’ จะว่างั้นก็ได้ค่ะ 

 

Her

 

มักส์ซุ่มทุ่มไม่อั้น

ความกังวลของมัสก์ที่เชื่อว่าวันหนึ่ง AI จะเป็นภัยต่อมนุษย์ในระยะยาว ไม่ได้แสดงออกแค่การออกสื่อเรียกร้องให้ทุกฝ่ายตระหนัก แต่เขาฟอร์มทีมวิจัย AI ขึ้นมาเมื่อธันวาคม 2015 โดยแท็คทีมกับ Sam Altman ซีอีโอ Y Combinator บริษัทบ่มเพาะสตาร์ทอัพเบอร์ต้นๆของโลก ทุ่มไปพันล้านเหรียญก่อตั้ง “OpenAI” บริษัทศึกษาวิจัยปัญญาประดิษฐ์แบบไม่หวังผลกำไร พูดง่ายๆว่าไม่ได้ทำเพื่อธุรกิจ แต่ทำเพื่อหาทางป้องกันความกังวลที่เขากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง เมื่อไม่ได้ทำเพื่อผลกำไรเขา ทีมวิจัยของ OpenAI จึงเต็มใจที่จะเผยแพร่งานวิจัยให้เป็นสมบัติสาธารณะมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ คุณเองก็สามารถเข้าไปติดตามข่าวสารอ่านงานวิจัยบางชิ้นของเค้าได้จากเว็บไซต์โดยตรงเลย เว็บนี้จ้ะ https://openai.com

แนวคิดการสร้างมนุษย์ AI นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ #มักส์ซุ่มทุ่มไม่อั้น ปีที่แล้วประเด็นนี้ฮือฮามาก เพราะมักส์ได้เปิดเผยถึงแนวคิดในการเชื่อมโยงปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ากับสมองมนุษย์เพื่อสร้าง ทำให้มนุษย์เป็นกึ่ง AI หรือ มีคำเรียกเฉพาะว่า “AI-human symbiote” อธิบายอย่างง่าย คือ มนุษย์ที่เชื่อมต่อระบบกับ AI ผ่านการถ่ายโอนข้อมูลจาก AI เข้าสู่สมองคือมีมนุษย์เป็น host และเชื่อม AI เข้ามาผ่านทางเครือข่ายประสาทในสมอง หากคุณเคยดูเรื่อง ‘เดอะ แมททริกซ์’ หรือ ‘ทรานเซนเดนท์’ อาจจะพอนึกภาพออก แต่ที่มักส์หมายถึงนั้นคือ มนุษย์จะสามารถถ่ายโอนข้อมูลส่วนตัวต่างๆบนแพลตฟอร์มดิจิทัลมาอยู่ในการควบคุมของร่างกายได้ ฟังดูเหลือเชื่อมาก แต่ทีมพัฒนาของมักส์กำลังศึกษาและวิจัยเรื่องนี้กันอยู่อย่างจริงจัง

เราเขียนบทความเรื่องนี้เป็นตัวเต็มไว้เมื่อปีที่แล้ว สามารถไปตามอ่านกันได้ที่นี่ >> “มนุษย์ AI” มีโอกาสเกิดขึ้นจริงในอนาคต ประเด็นเขย่าโลกจากบทสัมภาษณ์ Elon Musk ผู้ก่อตั้ง PayPal, Tesla และ SpaceX

“สงสัยกันมั้ยคะ ว่าในเมื่อมักส์กังวลในศักยภาพของ AI แล้วจะวิจัยเรื่องมนุษย์ AI ไปทำไมกัน??” คำตอบคือ….

มักส์เชื่อว่าวันหนึ่งมนุษย์จะไม่สามารถพัฒนาตัวเองตาม AI ได้ทัน และเราไม่อาจรู้ได้ว่าในอนาคต AI จะถูกนำไปใช้ในทางไหนบ้าง หรือมันจะพัฒนาตัวเองไปได้ถึงขั้นไหนบ้าง เขาจึงเสนอวิธีแก้ปัญหาสุดโต่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ คือทำให้มนุษย์มีความเป็นกึ่ง AI หรือ AI-human symbiote ไม่ใช่แค่เสนอ ตอนนี้เขากำลังพัฒนาและวิจัยความเป็นไปไม่ได้นี้อยู่ ซึ่งเขาเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ มักส์เชื่อว่าหากมนุษย์มีความสามารถได้เทียบเท่า AI มนุษย์จะใช้ประโยชน์จาก AI ได้เต็มที่ และสามารถคุม AI ได้อยู่หมัด (อื้อหือ!)

บทความนี้ขอพอแค่นี้ก่อน เพราะยังจะต้องมีประเด็น AI กับมนุษย์ ออกมาให้ถกเถียงวิเคราะห์กันอีกเรื่อยๆแน่นอน หากมีอะไรคืบหน้าและน่าสนใจเราจะเก็บมาเล่าให้ฟังอีกในบทความหน้าค่ะ :)

วิดีโอตัวเต็มที่ Elon Musk พูดในงานประชุมสมาพันธ์ผู้ว่าการรัฐแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2017

httpv://www.youtube.com/watch?v=OYJ89vE-QfQ

แหล่งอ้างอิง: Mashable.comTechnologyreview, Fortune, OpenAI, The Verge

Copyright © MarketingOops.com


  • 2.3K
  •  
  •  
  •  
  •