ในหลาย ๆ ครั้งที่เจ้าของกิจการหรือแบรนด์นั้นทำ Content ออกมาโดยเฉพาะ Video ที่ทำออกเพื่อสร้างการรับรู้ หรือ จะกระตุ้นยอดขายก็ตาม มักจะจบลงด้วยการใช้วิดีโอดังเกล่าไปใน Social Media ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Youtube เองก็ตาม และสุดท้ายวิดีโอที่ทุ่มทุนสร้างขึ้นมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์์ให้มากที่สุด และจบลงอยู่ใน Platform เหล่านั้น ทั้ง ๆ ถ้าเกิดการวางแผนว่าจะเอาวิดีโอเหล่านั้นมาใช้อะไรเพิ่มเติมก็จะสามารถสร้างมูลค่าได้อย่างมากมาย
ทั้งนี้การโพส Video ต่าง ๆ ลง Social Media นั้นไม่ใช่เรื่องผิดในการทำงานการสื่อสารทางการตลาด แต่เมื่อทำวิดีโอออกมาแล้ว ก็ควรจะใช้ให้คุ้มค่าที่สุดมากกว่าเอามาโพส Social Media เพราะการผลิตวิดีโอแต่ละครั้งนั้นใช้ทรัพยากรมากมายในการทำงาน มากกว่าการทำ Content แบบอื่น ๆ อีก ดังนั้นเพื่อไม่ให้งานที่ทำมานั้นใช้ไม่คุ้มค่า การเอาวิดีโอมาอยู่บนเว็บไซต์นั้นก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะใช้วิดีโอให้เป็นประโยชน์ได้ อีกทั้งยังช่วยเทสวิดีโอดังกล่าวในหน้าที่ต้องแสดงประสิทธิภาพให้ดีที่สุดด้วยว่าจะได้ผลแค่ไหน ซึ่งวันนี้ผมจะมาแนะนำว่าถ้าทำวิดีโอออกมาแล้ว ควรจะเอาวิดีโอนั้นไปไว้ที่ไหนบ้างในเว็บไซต์
1. หน้า Homepage เลย : ในสถานการณ์การขายสินค้าและบริการต่าง ๆ จริง ๆ นั้น การแนะนำตัวเองหรือธุรกิจเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถพูดและปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ กับคนอื่นได้ แต่ในทางออนไลน์นั้นการที่จะแนะนำตัวเองหรือธุรกิจนั้นขึ้นกับความประทับใจของการทำหน้าเว็บไซต์เลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อที่จะสามารถสร้างความประทบใจหรือปฏิสัมพันธ์ ในการที่จะดึงดูดความสนใจของคนที่เข้ามาเว็บไซต์นั้นนอกจากการทำดีไซน์ให้สวยงามแล้ว ก็คือการเอาวิดีโอที่ทำมาไปวางบนหน้า Homepage นี้เองในการแนะนำว่า ตัวเองคือใคร หรือธุรกิจเราคือใคร ทำอะไร ซึ่งวิดีโอที่ทำนั้นไม่ควรยาวเกิน 1 นาที โดยวิดีโอนี้ถ้าทำให้มีความคิดสร้างสรรค์และน่าสนใจนั้น จะสามารถสร้างประสบการณ์เหมือนกับการแนะนำตัวชั้นเยี่ยมได้เบลยทีเดียว และยังสามารถทำให้คนที่เข้ามามีความประทับใจจนสามารถไปชวนคนอื่นมาเยี่ยมชมคุณต่อได้อีก
2. หน้า Landing Page : หน้า Landing Page นั้นเรียกได้ว่าเป็นหน้าที่จะทำการขายสินค้าและบริการให้กับคนที่มาเยี่ยมชมแล้ว ดังนั้นการดีไซน์หน้านี้ต้องให้ข้อมูลที่ดีในการที่จะจบการขายหรือการเป็นสมาชิกให้ได้ ทำให้วิดีโอที่จะมาอยู่ในหน้านี้มักจะเป็นวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับการขายต่าง ๆ เช่นบริบทการใช้งานหรือ Used Case ต่าง ๆ ที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายนึกภาพออกว่า จะเอาไปใช้อย่างไรต่อไป เพื่อที่จะทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ วิดีโอดังกล่าวควรต้องมีความพิถีพิถันอย่างมากในการทำออกมา เพื่อที่จะสามารถดึงดูดความสนใจของคนที่ชมและทำให้เกิด Call To Action ไปสู่การจบการขายหรือสมัครสมาชิกต่าง ๆ ได้ขึ้นมา ด้วยรูปแบบนี้สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าหน้า Landing Page ที่มีแต่ตัวอักษรหรือภาพที่ให้คนจินตนาการตามอีก
3. หน้าสินค้าและบริการ : เช่นเดียวกับการขายสินค้าและบริการตามร้านค้าต่าง ๆ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ขายได้อย่างมากคือการสาธิตสินค้านั้น ๆ ขึ้นมาเพื่อแสดงให้ดูการทำงานหรือข้อดีต่าง ๆ ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาของกลุ่มเป้าหมายที่มีในใจได้ ดังนั้นในทางการทำเว็บไซต์ก็เช่นกัน เมื่อเข้าสู่หน้าสินค้าและบริการ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการมีวิดีโอที่จะมาสาธิตการทำงานของสินค้าและบริการนั้น ๆ ซึ่งจะทำให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้ามายังเว็บไซต์ในหน้าสินค้าและบริการนั้น สามารถเข้าใจได้ถึงการทำงาน และรู้ว่าสินค้านั้นและบริการนั้นจะเหมาะกับตัวเองหรือไม่ นอกจากนี้ยังใช้วิดีโอเหล่านี้มาสร้างเป็นแคตตาล๊อคในการบอกว่ามีสีอะไร หรือมีกี่รูปแบบของสินค้าและบริการ เพื่อที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายนั้นสามารถตัดสินใจได้ง่ายด้วยในการซื้อ
4. เอาไปใส่กับหน้า Help : สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาคือการที่ผู้บริโภคที่ได้สินค้าไปหรือใช้บริการแล้วมีปัญหาต่าง ๆ ต้องการสอบถาม หลาย ๆ ครั้งการอ่านด้วยตัวอักษรหรือดูด้วยภาพแล้วแก้ปัญหาตามนั้นไม่สามารถช่วยเหลือได้ การมีวิดีโอที่จะมาช่วยเล่าวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานสินค้าและบริการนั้นจะสามารถช่วยเหลือลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการได้อย่างมาก ในการทำตามขั้นตอนหรือตามวิดีโอที่ได้ทำขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง ๆ และให้ความกระจ่างในข้อสงสัยที่เกิดขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้วิดีโอที่มาขึ้นในหน้านี้ ควรเป็นวิดีโอที่สามารถอธิบายและเล่าเรื่องอย่างช้า ๆ เป็นขั้นตอนพร้อมทั้งให้เหตุผลเพื่อที่จะคลายข้อสงสัยต่าง ๆ ได้
5. เอาไปไว้หน้ารับประกัน : การทำวิดีโอต่าง ๆ นั้นมีข้อดีอย่างมาก เพราะสามารถนำมาใช้เพื่อเป็นการบอกถึงว่าสินค้าและบริการที่ให้นั้นสามารถเชื่อใจได้ และมีความมั่นใจในการใช้งานได้อย่างดี ด้วยการเอาวิดีโอของผู้ใช้งานหรือผู้ผ่านประสบการณ์ของสินค้าและบริการนั้นมาอยู่ในหน้านี้ที่จะทำให้เกิดความมั่นใจกับผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ หรือกำลังหาข้อมูลอยู่ขึ้นมา ได้รับรู้ว่าก็มีคนที่มีปัญหาเหมือนตัวเองที่ใช้สินค้าและบริการแล้วดีเช่นกัน ซึ่งการทำเช่นนี้ก็เป็นการสร้าง social proof แบบหนึ่งในเชิงจิตวิทยาอีกด้วย