“เซ็นทรัลพัฒนา” ชูความสำเร็จหลักสูตร “LEAD รุ่น 4” หนุนผู้ประกอบการ Scale up ธุรกิจไปได้ไกล พร้อมกรณีศึกษา 5 แบรนด์ SME ดาวรุ่ง

  • 3.7K
  •  
  •  
  •  
  •  

 

หนึ่งในกำลังหลักของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยคือ “ธุรกิจ SME” ปัจจุบัน ไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง (Medium SME) – ขนาดย่อม (Small SME) และผู้ประกอบการรายเล็ก (Micro SME) รวมกว่า 3 ล้านรายทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตามการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ท่ามกลางยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขัน และยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนอีกมากมาย นอกจากมี Passion และ Entrepreneur Spirit หรือจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการแล้ว ยังต้องมีองค์ความรู้ ได้มีโอกาสทดลองทำจริง มีความพร้อมปรับเปลี่ยนได้เร็ว และที่สำคัญคือ มี Partnership” เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กัน และต่อยอด Scale up ธุรกิจให้โตเป็นทวีคูณ

 

 

เพราะเล็งเห็นความสำคัญของ SME “เซ็นทรัลพัฒนา” ผู้นำการพัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ จึงพัฒนาหลักสูตรรีเทล LEAD”(Leading Entrepreneur Advanced Development) ที่พัฒนาผู้ประกอบ SME สามารถเติบโต สร้างความแตกต่าง และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป และในวงการรีเทล เพื่อให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์แบบเรียนจริง ทำจริง โตจริง สามารถต่อยอดธุรกิจของตัวเองได้ในระยะยาว

 

 

ทำความรู้จักหลักสูตร “LEAD” เรียนจริง ทำจริง โตจริง ปั้น SME ดาวรุ่ง 

เจตจำนงการดำเนินธุรกิจ (Business Purpose) ของ “เซ็นทรัลพัฒนา” ในฐานะที่เป็น Place & Experience Maker มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และคอมมูนิตี้มอลล์ทั่วประเทศ คือการสร้างสถานที่ให้เป็น Center of Life หรือศูนย์กลางของชีวิตผู้คน และเป็น Retail Platform แห่งโอกาสของผู้ประกอบการ โดยจัดสรร 10% ของพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เป็นพื้นที่สำหรับร้านค้า SME

นอกจากนี้ “เซ็นทรัลพัฒนา” ยังมีความมุ่งมั่นเป็น Business Incubator ผ่านหลักสูตรรีเทล LEAD” โดยความร่วมมือกับ “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ออกแบบและพัฒนาโปรแกรมนี้ขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งใน Business Strategy ที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนาในการสร้าง Platform พร้อมทั้งคัดเลือกผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ เข้าสู่ Business Ecosystem ที่แข็งแกร่งของกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อเป็น The Right Brand for the right target at the right location” สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ทุกขนาดธุรกิจ ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ และต่อยอดขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

จุดเด่นและความแตกต่างของหลักสูตร LEAD ผู้เรียนจะได้ประสบการณ์การเรียนรู้แบบ “เรียนจริง ทำจริง โตจริง” ด้วยวัตถุประสงค์ต้องการให้ผู้เรียนนำเอาความรู้ที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญด้านค้าปลีก ทั้งของเซ็นทรัลกรุ๊ป และในวงการรีเทล บวกกับธุรกิจของตนเอง และประสบการณ์ที่สั่งสมมา ต่อยอดสู่การพัฒนาสินค้า หรือบริการใหม่

ตลอดจนได้มีโอกาสทำ “Brand Co-creation” ทดลองนำแบรนด์ของตนเองมาร่วมต่อยอดกับแบรนด์​อื่น เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ใหม่, โมเดลธุรกิจใหม่ นำไปสู่การทดลองตลาดจริงผ่าน Pop-up Store” ในศูนย์การค้าเซ็นทรัล เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เจอสถานการณ์จริง และฟีดแบคทั้งจากอาจารย์ที่เดินดู พร้อมให้คอมเมนต์ และจากลูกค้าจริง เช่น หากสินค้า หรือการจัดวางสินค้ายังไม่สามารถดึงความสนใจของลูกค้าได้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนทันที

นอกจากนี้ด้วยความที่เซ็นทรัลพัฒนา มีศูนย์การค้า 38 แห่งทั่วประเทศ ตั้งอยู่ในโลเคชั่นดีที่สุดในแต่ละโซน แต่ละจังหวัด เพราะฉะนั้นการเปิดให้ผู้เรียน LEAD ได้ทดลองจริงผ่าน Pop-up Store ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลสาขาต่างๆ จะทำให้ผู้เรียนได้เข้าใจ Segmentation ของกลุ่มลูกค้าแต่ละศูนย์การค้ามากขึ้น เพื่อใช้ในการพัฒนาสินค้า หรือบริการของตัวเองให้ตอบโจทย์เซ็กเมนต์ลูกค้าที่มาเดินศูนย์การค้าเซ็นทรัลสาขานั้นๆ

เช่น เปิด Pop-up Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ย่อมแตกต่างจาก Pop-up Store ที่เซ็นทรัลพระราม 2 เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการคนละเซ็กเมนต์ ซึ่งจากการเรียนจริง-ทำจริงนี่เอง ทำให้ผู้ประกอบการที่ผ่านหลักสูตร LEAD สามารถนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ คำแนะนำไปพัฒนาต่อยอดใช้กับธุรกิจจริงอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

“เนื่องจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลขยายเพิ่มขึ้น เราอยากดึงผู้ประกอบการ SME เข้ามาอยู่ใน Ecosystem Platform ของเซ็นทรัลกรุ๊ป จึงได้เปิดพื้นที่ 10% ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลแต่ละสาขา เป็นพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะ Local SME และ SME รุ่นใหม่ ได้มาทดลองเปิดร้านจริง

ขณะเดียวกันเรามองว่าการเป็นแพลตฟอร์มอย่างเดียวไม่เพียงพอ เรายังมีเจตจำนงทำหน้าที่เป็น Incubator บ่มเพาะ และให้คำแนะนำแก่ธุรกิจ SME เพื่อทำให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแรงขึ้น จึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกแบบหลักสูตรรีเทล LEAD ผสมผสานทั้งหลักวิชาการ และการลงมือทำจริง

โดยผู้เรียนจะได้แลกเปลี่ยนไอเดีย-มุมมอง และร่วมกันทำ Brand Co-creation ทดลองนำแบรนด์ของตนเอง มาร่วมต่อยอดกับแบรนด์อื่นๆ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ โดยมีผู้เชี่ยวชาญวงการรีเทลทั้งจากเซ็นทรัลกรุ๊ป อาจารย์ และจากข้างนอกมาให้คำปรึกษาและคำแนะนำกับผู้ประกอบการที่เรียนหลักสูตร LEAD” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดของเซ็นทรัลพัฒนา เล่าที่มาของการพัฒนาหลักสูตรรีเทล LEAD

 

 

ทางด้าน ผศ.ปิติพีร์ รวมเมฆ CEO & Founder บริษัท เอมบิชั่น คอร์ป จำกัด ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจ นวัตกรรมและการตลาด และ Course Director ของหลักสูตร LEAD ขยายความเพิ่มเติมว่า การพัฒนาโปรแกรมหลักสูตรดังกล่าว เรามุ่งหวังว่าโปรแกรมนี้จะเป็น Gateway to Success” และเป็น Fast Track” ให้กับผู้ประกอบการ SME รวมทั้งได้มีโอกาสอยู่ใน Business Ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา และเซ็นทรัลกรุ๊ป

“หลายครั้ง SME ได้โอกาสมา แต่ไม่สามารถคว้าโอกาสนั้นได้ เพราะฉะนั้นโปรแกรม LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา เป็นเหมือนผู้ใหญ่ใจดีที่ให้โอกาสผู้ประกอบการ ได้พัฒนาความพร้อม ศักยภาพ และดึงความเก่งของผู้ประกอบการแต่ละรายขึ้นมา

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทุกคนที่ผ่านโปรแกรม LEAD จะได้คือ 1. New Concept Store 2. New Product Development และ 3. Partnership ได้ลองหลายโปรเจคกับเพื่อนๆ เพื่อจะได้รู้ว่าธุรกิจของเราเหมาะกับพาร์ทเนอร์แบบไหน ควรจะ Collab กับใคร และหลายครั้งทางหลักสูตรก็ใส่ความท้าทายให้กับผู้เรียน โดยให้ Collab ข้ามประเภทสินค้า”

ถึงวันนี้หลักสูตร LEAD ดำเนินการมาแล้ว 4 รุ่น นับตั้งแต่เปิดรุ่นแรกในปี 2017 โดยตลอด 4 รุ่นที่ผ่านมา มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาความรู้ และโจทย์ที่ให้ผู้ประกอบการ SME ลงมือทำจริง เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ได้ปั้นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จไปแล้วรวมกว่า 150 แบรนด์ มีการขยายหน้าร้านกว่า 600 ร้านค้า บนพื้นที่รวมมากกว่า 30,000 ตารางเมตร สร้างมูลค่าการเติบโตของธุรกิจมากกว่า 1,800 ล้านบาท

 

 

“ผู้ประกอบการที่ได้เข้าร่วมโปรแกรม LEAD 1. ต้องมีศักยภาพสร้างการเติบโตธุรกิจของเขาได้ ซึ่งการเติบโตทางธุรกิจในที่นี้ ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่กับในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ปเสมอไป เขาสามารถโตเองได้ 2. การออกแบบคอร์ส LEAD จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากโจทย์ของโลกที่เปลี่ยนไป โดยจะจับเทรนด์ในแต่ละปี และปรับหลักสูตรให้ตรงตามเทรนด์ เลือกผู้เชี่ยวชาญมาสอนให้ตรงกับเทรนด์” ดร.ณัฐกิตติ์ ขยายความเพิ่มเติม

 

ตัวอย่างของ SME ที่เข้าร่วมหลักสูตร LEAD ในรุ่นที่ผ่านมา เช่น

– Gentlewomen ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ไทย ที่เติบโตมาจากแบรนด์ CAMP Fashion Multi brand store

– Fresh Me แบรนด์เครื่องดื่มชาที่ปัจจุบันมีกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ

– Ravipa แบรนด์จิวเวลรี่ชื่อดัง และได้เปิด Flagship Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์

– With It Store แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น เติบโตไปยังหลากหลายสาขา และแตกไลน์เป็นแบรนด์ Nature และ Highschool เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย

– Moshi Moshi ร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด ปัจจุบันมีหลายสาขาทั่วประเทศ และเพิ่งเข้าตลาดหุ้นไทยไม่นานนี้

– Salad Factory ธุรกิจร้านอาหารเพื่อสุขภาพ และ Beautrium ร้านเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงาม ที่เซ็นทรัลกรุ๊ปเข้าร่วมลงทุน

 

“เซ็นทรัลพัฒนาสร้างแพลตฟอร์ม และค้นหาดาวรุ่ง SME โดยใช้ Ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนาในการช่วยสร้างการเติบโตให้กับผู้ประกอบการ และดาวรุ่งรายไหนที่มีศักยภาพ บริษัทในเครือเซ็นทรัลก็จะเข้าร่วมลงทุน และเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งเรามีความสุขทุกครั้งที่เห็นผู้ประกอบการ SME ที่ร่วมโปรแกรมนี้ ขยายสาขาได้ มียอดขายดี และธุรกิจเติบโต” ดร.ณัฐกิตติ์ กล่าวเสริม

 

กรณีศึกษา 5 แบรนด์ธุรกิจ SME รุ่นใหม่

สำหรับ LEAD รุ่น 4 มี 5 แบรนด์ที่ได้รับรางวัลด้านต่างๆ จากหลักสูตร ได้แก่ 

– ซาลาเปาโกอ้วน: จากซาลาเปา ต่อยอดสู่แบรนด์ใหม่ “โรงชาชงดี”

รางวัล New Concept Store for Business Growth

ร้านติ่มซำชื่อดังของหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาที่เปิดมากว่า 40 ปีแล้ว มีเมนู Signature คือ ซาลาเปาทอด ต่อมาได้ขยายร้านมายังกรุงเทพฯ สาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ เพราะอยากให้คนกรุงเทพฯ ได้ลิ้มลองความอร่อยของอาหารท้องถิ่นจากหาดใหญ่ ถึงปัจจุบันร้านซาลาเปาโกอ้วน มี 20 สาขาในกรุงเทพฯ แบ่งเป็นสาขาที่ร้านลงทุนเอง 10 สาขา และรูปแบบแฟรนไชส์ 10 สาขา

อย่างไรก็ตามหลังจากเปิดสาขาในกรุงเทพฯ มาได้สักพัก พบข้อจำกัดของอาหารประเภทติ่มซำ มี Shelf Life สั้น เมื่อซื้อแล้วต้องรับประทานทันที เพื่อให้ได้คุณภาพและความสดใหม่ จึงได้มองหาโอกาสธุรกิจใหม่ ก็พบว่าในกลุ่มเมนูเครื่องดื่มของทางร้าน “ชาเย็น” เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากลูกค้า

ในที่สุดได้ตัดสินใจแตกแบรนด์ใหม่คือ “โรงชาชงดี” แบรนด์เครื่องดื่มชา โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น ด้วยวัตถุดิบที่ใช้มาจากหาดใหญ่ เช่นเดียวกับซาลาเปาโกอ้วน พร้อมทั้งสร้าง New Concept Store เพื่อต่อยอดธุรกิจแบบ Scalable

 

 

“เราพยายามสร้างแบรนด์โรงชาชงดี แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าควรจะแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ไปเลย หรือยังเกาะกับแบรนด์ซาลาเปาโกอ้วน ประจวบกับได้มาเรียนหลักสูตร LEAD พอดี จึงได้ทดลองตลาด ด้วยการออก Pop-up Store ทั้งที่เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลพระราม 2 เอาแบรนด์ชงดีไปวางจำหน่าย และทำ Collab กับแบรนด์เครื่องดื่มและไอศกรีมอื่นด้วย

ปรากฏว่าได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้เรามั่นใจที่จะแตกออกมาเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คือ “โรงชาชงดี” เพราะเราเห็นแล้วว่าการมีแบรนด์โรงชาชงดี สามารถเติมเต็ม Customer’s Solution ได้มากขึ้น ทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการที่ร้าน ซื้อทั้งซาลาเปา และเครื่องดื่มชงดี” คุณสุรีย์พร พูนศักดิ์ไพศาล Managing Director บริษัท โกอ้วน ซาลาเปา แอนด์ ที จำกัด และ บริษัท ชงดีพูนผล จำกัด เล่าที่มาของการพัฒนาแบรนด์ใหม่ และประโยชน์ที่ได้รับจาการทดลองทำจริงในหลักสูตร LEAD

 

 

หลังจากทดลองทำ Pop-up Store จำหน่ายทั้งซาลาเปาโกอ้วน และเครื่องดื่มโรงชาชงดีที่เซ็นทรัลพระราม 2 เมื่อจบโปรเจค ล่าสุดได้เปิดร้านซาลาเปาโกอ้วนรูปแบบถาวร ที่เซ็นทรัลพระราม 2 ภายในร้านมีมุมเครื่องดื่มโรงชาชงดีเล็กๆ เพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้า และในปีนี้เดินหน้าสร้างแบรนด์โรงชาชงดีให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีแผน Scale ธุรกิจโรงชาชงดี ด้วยการเปิด 5 สาขา

Passion ในการทำธุรกิจของเราคือ อยากให้คนรู้ว่าแบรนด์ Local ก็เจ๋งได้ อย่างซาลาเปาโกอ้วน จากร้านซาลาเปาห้องแถว วันนี้สามารถขยายสาขาในกรุงเทพฯ และยังมีอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่​คือ โรงชาชงดี 

การทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ปัจจัยความสำเร็จประกอบด้วย รสชาติ, เอกลักษณ์ และการสร้างแบรนด์ ดังนั้นแบรนด์โรงชาชงดี เราให้ความสำคัญกับ 3 ส่วนหลักคือ Authentic, Local , Timeless ความเป็นตัวจริงด้านชาใต้ที่รสชาติมีเอกลักษณ์ เป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์โรงชาชงดี โดดเด่นจากตลาดเครื่องดื่มชานมที่มีการแข่งขันสูง” คุณสุรีย์พร สรุปทิ้งท้ายถึงกลยุทธ์จากซาลาเปาโกอ้วน ถึงแบรนด์เครื่องดื่มโรงชาชงดี

 

 

– Tempered: Specialty Chocolate บนความยั่งยืน

รางวัล Omni Sustainability for Business & Community

จากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งเดินทางไปญี่ปุ่น ได้เจอคาเฟ่ช็อกโกแลตแห่งหนึ่งที่มีเชฟรังสรรค์เมนูจากช็อกโกแลต จึงเกิดคำถามว่าแล้วเมืองไทยมีคาเฟ่ช็อกโกแลตอย่างนี้หรือเปล่า จากคำถามนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Tempered” ช็อกโกแลตสัญชาติไทย ที่ใช้วัตถุดิบโกโก้จากแหล่งปลูกในไทย ผสมผสานกับวัฒนธรรมตะวันตก หรือ East meet West ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตประเภทต่างๆ

คุณชนิกานต์ ตันบุญเพิ่ม Exclusive Chef and Co-Founder, Tempered Cooperatives เล่าว่า แนวคิดการทำ Tempered ต้องการเป็นช็อกโกแลตที่พิถีพิถันในทุกกระบวนการ และอยู่บนความยั่งยืน ตั้งแต่แหล่งปลูก โดยรับซื้อจากสวนโกโก้ในจันทบุรี และเชียงใหม่เป็นหลัก – กระบวนการผลิตที่ใช้พลังงาน Solar Cell และพยายามให้เป็น Zero Waste ไปจนถึงเปิดคาเฟ่ช็อกโกแลต และพัฒนาผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตรูปแบบต่างๆ 

 

 

“คนไทยไม่ได้รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำ เป้าหมายของเราคือ การทำให้ช็อกโกแลตไปถึงผู้บริโภคทุกๆ คน เราได้เปิดร้าน 1 สาขาเป็น Stand Alone พอเราเรียนหลักสูตร LEAD ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ว่า โปรดักต์ต้องหลากหลาย ทั้งเครื่องดื่ม, ของหวาน และอาหารที่นำช็อกโกแลตใช้เป็นส่วนประกอบ โดยที่ลูกค้าไม่ทราบว่ามีส่วนผสมนี้อยู่ แต่พอลูกค้าทราบ ก็ amazing กับเมนูอาหารนั้นๆ  

ขณะเดียวกันการร่วมโปรแกรม LEAD ทำให้ได้มีโอกาสทดลองเปิด Pop-up Store จากที่ไม่เคยทำมาก่อน และได้ Collab กับไอศกรีม และขนมปังของเพื่อนร่วมรุ่นหลักสูตร LEAD”

ในช่วงที่ทดลองเปิด Pop-up Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ คุณชนิกานต์ยืนหน้าร้านเองทุกวัน เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจลูกค้า ซึ่งตอนนั้นต้องปรับเปลี่ยนดิสเพลย์ทุกวัน ต่อมาเปิด Pop-up Store ที่เซ็นทรัลพระราม 2 ได้พัฒนาช็อกโกแลตพิเศษ 100% ไม่มีน้ำตาล เพราะต้องการทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าการรับประทานทานช็อกโกแลต ก็ตอบโจทย์สุขภาพได้เช่นกัน โดยได้การตอบรับจากลูกค้าอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว ทำให้ยอดขาย Pop-up Store สาขานี้โตขึ้น 

 

 

คุณชนิกานต์ เล่าความรู้สึกจากการเข้าร่วมหลักสูตร LEAD ว่าได้เรียนรู้การเป็นแบรนด์ที่จะเติบโต ต้องประกอบด้วย 1. แบรนด์แข็งแรง ยิ่งถ้าเป็นอาหาร หรือของกิน รสชาติต้องมีมาตรฐาน และคุณภาพ 2. Scale up ธุรกิจด้วยการเปิดสาขาเพิ่ม และ 3. พัฒนาโปรดักต์ให้มีความหลากหลาย

“ตั้งแต่เรียน LEAD ดิสเพลย์ร้านปรับเปลี่ยนบ่อยมาก และพัฒนาโปรดักต์ใหม่เพิ่มขึ้น เพราะเราได้เรียนรู้ว่าลูกค้าไม่ชอบความจำเจ พร้อมทั้งนำความรู้ คำแนะนำ และประสบการณ์ที่ได้ทำ Pop-up Store กลับมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจ”

 

 

 

 Nineties Design: แบรนด์แฟชั่นที่อยู่ใน Customer Lifetime Value

รางวัล Omni Brand & Omni Channel for Business Growth

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Nineties Design” มาจาก คุณกัญญาณัฐ ปิยะชัยวุฒิ Managing Director & Co-Founder บริษัท อินสไปเรชั่น ดีไซน์ จำกัด ชอบสวมใส่เสื้อยืดอยู่แล้ว และชอบแฟชั่นยุค ’90 หรือที่เรียกว่าแฟชั่น Y2K จึงได้สำรวจตลาดพบว่ายังไม่มีแบรนด์แฟชั่นวัยรุ่นที่มีดีไซน์แบบยุค ‘90ประกอบกับอยากพัฒนาแบรนด์เสื้อผ้าของคนไทยที่มีคุณภาพดี ผลิตและตัดเย็บในไทยทั้งหมด

ในที่สุดได้พัฒนามาเป็นแบรนด์ Nineties Design” ดึงความเป็นยุค ’90 ที่มีลุคสดใส-น่ารักมาผสมผสานกับการออกแบบ โดยเริ่มแรกจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ก่อน และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่ม Teenager แต่นิยามคำว่า Teenager ของแบรนด์​ Nineties Design ไม่ได้จำกัดเฉพาะวัยรุ่น หากแต่หมายถึงใครก็ตามที่หยิบเสื้อของ Nineties Design มาใส่ จะดึงความเป็นวัยรุ่น ความสดใสกลับมาอีกครั้ง

ต่อมาได้เปิดหน้าร้านที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล จำนวน 20 สาขา และหลังจบหลักสูตร LEAD รุ่นที่ 4 ได้ขยายเพิ่มเป็น 30 สาขา และถ้ารวมช่องทางร้าน Multi-brand ทำให้มีช่องทางการขายผ่านหน้าร้าน ทั้งหมด 60 สาขา ทั้งยังสามารถปั้นแบรนด์ใหม่ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโต ด้วยการเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่

 

 

 “พอมาเรียน LEAD ทำให้เราได้ทดลองจริงจากการเปิด Pop-up Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ทำให้เรารู้ว่าถ้าเราเลือกสินค้าที่สอดคล้องกับสถานที่ และสินค้ามีคุณภาพ ลูกค้ายินดีจ่าย โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลดราคา

จากนั้นเราได้ทดลองเปิด Pop-up Store ที่เซ็นทรัลพระราม 2 ทำให้เกิดอีกหนึ่งแบรนด์ขึ้นมา คือ “Nineties Kids” แบรนด์เสื้อผ้าสำหรับเด็ก

นอกจากนี้ยังได้รับคำแนะนำจากหลักสูตร LEAD ทำให้รู้ว่าจุดแข็งของบริษัทคือ คุณภาพผ้ายืด จึงอยากขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนวัยทำงาน จึงได้สร้างแบรนด์ “NINE” เป็นเสื้อผ้าสไตล์เรียบๆ โดยใช้เวลาปั้นแบรนด์ พัฒนาสินค้า และเปิดหน้าร้าน NINE สาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2 ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น และมีแผนขยายร้าน NINE ไม่ต่ำกว่า 10 สาขาไปกับเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป” 

 

 

ถึงปัจจุบันบริษัท อินสไปเรชั่น ดีไซน์ มีแบรนด์แฟชั่นในเครือที่ทำตลาดกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกัน ได้แก่ Nineties Kids สำหรับกลุ่มเด็ก, Nineties Design เจาะกลุ่มวัยรุ่น โดยกลุ่มหลักเป็นผู้หญิง, NINE เจาะกลุ่มวัยทำงาน, SO.ON แบรนด์แฟชั่น Unisex และ Ctrl สำหรับผู้ชาย

“เราอยากตอบโจทย์ Customer Lifetime Value ตั้งแต่กลุ่ม – วัยรุ่น – วัยทำงาน และมีแบรนด์ Unisex ซึ่งอนาคตเราอยากให้เสื้อยืดของเครืออินสไปเรชั่น ดีไซน์ อยู่ในตู้เสื้อผ้าของทุกบ้าน เพราะเราดีไซน์และผลิตเสื้อยืดครบลูป สำหรับผู้บริโภคในทุกช่วงวัย และมีช่องทางการขายทั้งออนไลน์ และหน้าร้านทั่วประเทศไทย”

 

 

 

– Moreover: จาก Designer Brand สู่การเปิด Flagship Store รวมสินค้าตนเอง-แบรนด์พาร์ทเนอร์ในที่เดียว

รางวัล Partnership & Collaboration for Business Growth

ด้วยพื้นฐานเป็น Product Designer มาก่อน คุณนวัต ศักดิ์ศิริศิลป์ Founder & Design Director บริษัท เข้ากันดี จำกัด ได้เริ่มทำแบรนด์ของตกแต่งบ้าน ภายใต้ชื่อ Moreover” ปัจจุบันมีจุดจำหน่าย 20 – 30 แห่ง โดยสินค้าขายดี เช่น หิ้งพระ ดีไซน์ Minimal ขณะเดียวกันได้มีโอกาสทำ Collaboration กับแบรนด์ต่างๆ เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์คอลเลคชั่นพิเศษ

ในขณะที่มีฐานแข็งแรงในตลาด B2B ด้วยการทำ Collaboration กับพาร์ทเนอร์ต่างๆ คุณนวัต มีความคิดอยาก Scale up การเติบโตในฝั่ง B2C เช่นกัน จึงได้เข้ามาเรียนหลักสูตร LEAD เพื่อพัฒนา Business Model ใหม่ให้เข้าถึงตลาด B2C มากขึ้น ทำให้ล่าสุดเตรียมเปิด Flagship Store ในชื่อ overlaps by moreover” รวมสินค้าทั้งของ Moreover และสินค้าที่ได้ Collab กับพันธมิตร 

 

 

“เราต้องการสร้าง Flagship Store ที่แข็งแรง และกระจายจุดจำหน่ายไปยังช่องทางต่างๆ ตอนนี้อยู่ระหว่างการหาโลเคชั่นในการเปิด Flagship Store โดยเราใช้วิธีเปิด Pop-up Store และออกอีเว้นท์ เพื่อดูการตอบรับของลูกค้าแต่ละแห่งว่าเป็นอย่างไร และใช้เป็นข้อมูลพิจารณาเลือกทำเลเปิด Flagship Store” คุณนวัต กล่าวถึงการขยายโอกาสธุรกิจ

 

 

 

– Amatas: ต่อยอดธุรกิจครอบครัว สู่ Multi-brand Kitchenware Store ขายเครื่องครัวครบวงจร

รางวัล Supply Chain Management & Scalable for Business Growth

กว่าจะมาเป็น Amatas” ในวันนี้ จุดเริ่มต้นมาจากเป็นโรงงานพลาสติก OEM รับผลิตของแถมทำจากพลาสติกให้กับแบรนด์ FMCG รายใหญ่ ต่อมาได้พัฒนาแบรนด์ของตนเอง Super Lock” เป็นกล่องเก็บอาหาร วางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มารเก็ต

ต่อมาในยุค คุณพลาวุฒิ เจริญจิตมั่น Managing Director, Micron Group ทายาทรุ่นสองของธุรกิจ ได้ต่อยอดระบบซัพพลายเชนจากธุรกิจโรงงานผลิตแบรนด์ Super Lock ขยายสู่การทำธุรกิจรีเทล Amatas” ด้วยคอนเซ็ปต์ “Multi-brand Kitchenware Store” นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องครัวครบวงจร ที่มี Amazing Function และ Tasteful Design สำหรับการใช้ชีวิตที่ทันสมัย

 

 

“ที่ผ่านมาเรามีแบรนด์ มีผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้าน และขายผ่านห้างฯ ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์เก็ต และผ่านออนไลน์มาโดยตลอด แต่สิ่งที่เราขาดคือ การมีร้านของตัวเอง จึงได้เกิดร้าน Amatas โดยในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เราจับตลาดเครื่องครัวเกาหลี และญี่ปุ่นก่อน เพราะเป็นเทรนด์กำลังมา และตอบโจทย์ตลาดไทย

ขณะที่แผนการเติบโต เราตั้งเป้าเป็นเบอร์ 1 ของประเทศไทยด้านยอดขายสินค้าเครื่องครัวครบวงจร ซึ่งยอดขายของบริษัท Micron Group ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 200 ล้านบาท และตั้งเป้าภายในปี 2025 จะมียอดขาย 500 ล้านบาท โดย 20% ของยอดขายมาจากการเปิดร้าน Amatas ในเซ็นทรัล ที่บริษัทมีแผนเปิด 10 สาขา สาขาแรกจะเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 5 พร้อมกับการนำเข้าแบรนด์เครื่องครัวจากอิตาลี, สเปน และอเมริกามาจัดจำหน่าย และทำ Collaboration แบรนด์เครื่องครัวอื่น 

 

 

หลังจากได้เรียนหลักสูตร LEAD และร่วมงานกับเซ็นทรัลพัฒนา ทำให้เราเรียนรู้ว่า Retail is Detail และถ้าจะผลักดันให้ธุรกิจโตมากขึ้น ต้องโตแบบมีพาร์ทเนอร์ และมี Scale บริษัทฯ จึงได้ลงทุนกว่า 100 ล้านบาทสร้างโกดังสินค้า เพื่อซัพพอร์ตธุรกิจรีเทล Amatas” คุณพลาวุฒิ เจริญจิตมั่น Managing Director, Micron Group เล่าถึงการความรู้ที่ได้จากโปรแกรม LEAD ต่อยอดสู่กลยุทธ์สร้างการเติบโตธุรกิจ Amatas

 

 

8 ข้อคิดทำธุรกิจ SME อย่างไรให้ปัง!

นอกจากเจาะลึกหลักสูตร LEAD และทำความรู้จัก 5 แบรนด์ SME ดาวรุ่งกันแล้ว ดร.ณัฐกิตติ์ ยังได้แนะนำเคล็ดลับการดำเนินธุรกิจ SME ให้สามารถ Scale up ธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 8 เรื่องสำคัญคือ

  1. Passion ในการทำธุรกิจสำคัญมากสำหรับผู้ประกอบการ SME
  2. Target of Opportunity ทำธุรกิจต้องรู้จัก และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายว่าเป็นใคร เพื่อนำไป Match กับโลเคชั่นที่จะเปิดร้านค้าได้
  3. Product Valuation คุณค่าที่ส่งมอบให้กับลูกค้า จะทำให้สามารถดึงความสนใจของผู้บริโภค หรือสร้างความแตกต่างจากสินค้าอื่น
  4. Business Ecosystem เอาแบรนด์ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเติบโต โดยคำนึงถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน อย่างโปรแกรม LEAD ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจ SME อยู่ใน Ecosystem ที่พร้อมสนับสนุนให้เกิดการต่อยอดธุรกิจ
  5. Open Mind การทำธุรกิจคนเดียวไม่อาจสำเร็จได้ หากแต่การทำ Co-creation ร่วมกับแบรนด์อื่น จะทำให้เกิด New Product, New Development, New Opportunity
  6. Adaptation ไม่ว่าจะแบรนด์ออนไลน์ หรือผู้ผลิต OEM มาก่อน ต้องเปิดตัวเองให้กับ Physical Store เพื่อจะได้สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง และสามารถต่อยอดขยายแพลตฟอร์มไปได้หลายโมเดล
  7. Profit & Lost, Cash Management, Stock Management ผู้ประกอบการ SME ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้
  8. Branding ต้องทำแบรนด์ดิ้ง เพื่อ Engage และ Connect กับลูกค้า และแบรนด์ดิ้งจะต่อยอดด้วยการทำ CRM หากธุรกิจมีฐานข้อมูลลูกค้า จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจนั้นต่อไป 

สำหรับผู้ประกอบการรีเทล รายไหนที่สนใจเข้าร่วมหลักสูตร LEAD สามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่ https://shoppingcenter.centralpattana.co.th/lead/ แล้วความสำเร็จ และโอกาสในการ Scale up ธุรกิจกำลังรอคุณอยู่!

 


  • 3.7K
  •  
  •  
  •  
  •