เข้าสู่ปี 2561 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เริ่มเดินเครื่องแรงตั้งแต่ต้นปี ในฐานะบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ด้วยการประกาศเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์เฮ้าส์ รวม 31 โครงการ ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา
เหตุผลที่ทำให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบรนด์โครงการพักอาศัยชั้นนำแห่งนี้เดินหน้ารุกตลาดเต็มสูบ เพราะการพัฒนาโครงการได้ก้าวไปสู่เป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ในปีนี้ 45,000 ล้านบาท พร้อมทั้งการก้าวเข้าสู่โรดแมป “Tomorrow is Unfolded” สานต่อความสำเร็จในปีที่ผ่านมาภายใต้คุณสมบัติสำคัญ 7 Key Success
สัญญาณความสำเร็จในปีนี้ของแสนสิริ สะท้อนจากปรากฏการณ์ผลตอบรับที่ดี ในทุกโครงการทุกประเภทที่ดำเนินงานมาทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ ทั้งกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดพักอาศัย มีเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทย และนักลงทุนชาวต่างชาติ
โครงการบ้านเดี่ยวที่เจาะตลาดความต้องการ กลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง, กลุ่มระดับบน รวมทั้งกลุ่มตลาดระดับกลางบน ก็ได้รับความสนใจ และประสบความสำเร็จสร้างสถิติด้วยยอดขายรวดเร็ว รวมทั้งได้รับการตอบรับที่ดีในทุกโครงการและทุกทำเล
ส่วนทาวน์เฮ้าส์ เป็นโครงการพักอาศัยแนวราบ ที่แสนสิริแบ่งเซ็กเมนต์ตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะโครงการที่ตอบรับ เทรนด์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ สามารถสร้างยอดขายที่เติบโต เป็นไปตามเป้าหมาย และเป็นไปตามความโดดเด่นของแต่ละโครงการเช่นกัน
สำหรับครึ่งปีแรก 2561 โครงการอยู่อาศัยทุกรูปแบบภายใต้แบรนด์ “แสนสิริ” สามารถสร้างปรากฏการณ์ ประสบความสำเร็จด้านยอดขายเติบโตสูงสุดในรอบ 34 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา
ยอดขายครึ่งปีแรก 24,000 ล้าน
คุณวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2561 ว่า แสนสิริประสบความสำเร็จด้านยอดขายที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดขายได้แล้วถึง 24,000 ล้านบาท หรือเติบโต 62% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 53% จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ทั้งปี 45,000 ล้านบาท
นับเป็นความสำเร็จที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในทุกโครงการ โดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัย สามารถปิดการขายหรือสร้างการขายที่รวดเร็ว เช่น โครงการ เดอะ เบส เซ็นทรัล-ภูเก็ต และโครงการ ดี คอนโด แคมปัส โดม-รังสิต กระแสตอบรับดีมาก สามารถปิดการขายทันทีสำหรับวันแรกที่เปิดพรีเซลล์
นอกจากนี้ยังมีโครงการ ลา กาซิตา หัวหิน คอนโดพักตากอากาศ การอยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อน ซึ่งเป็นตลาดที่แสนสิริเป็นผู้นำมาอย่างยาวนานในทำเลนี้ ก็สามารถสร้างยอดขายได้ 90% ในเวลา 1 เดือน ส่วนโครงการ เอดจ์ เซ็นทรัล พัทยา ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ที่มีความต้องการอาคารชุดในทำเลพัทยา ทั้งเพื่อการพักผ่อนหรือเพื่อการลงทุน ล่าสุดมียอดขายไปแล้วกว่า 95% ทำให้ต้องมีการปิดการขายในเร็วๆ นี้ รวมทั้งโครงการ ดี คอนโด หาดใหญ่ ก็สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 50%
สำหรับตลาดบ้านเดี่ยว แสนสิริยังสร้างปรากฏการณ์ ได้รับความสำเร็จด้านยอดขายจากลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งการเปิดตัวบ้าน แสนสิริ พัฒนาการ ที่เป็นการสร้างสรรค์ผลงานการอยู่อาศัยอย่างพิถีพิถัน ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมยุครีเจนซี่ (Regency) สไตล์อังกฤษ โดยใช้เวลาก่อสร้างถึง 3 ปีเพื่อลูกบ้านแสนสิริเพียง 36 ยูนิต บนเนื้อที่ 37 ไร่ ถนนพัฒนาการซอย 30
“แสนสิริ พัฒนาการ ถือเป็นการมอบประสบการณ์ของการอยู่อาศัย ที่สมบูรณ์แบบ มีความเป็นส่วนตัวสูง บนทำเลที่หาได้ยากใจกลางเมือง ใกล้ทั้งศูนย์กลางธุรกิจ รายล้อมด้วยศักยภาพของทำเล ทั้งสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ พระราม 9 หรือโรงเรียนนานาชาติ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยได้รับความสนใจอย่างมากจากลูกค้ากลุ่มบุคคลสินทรัพย์สูง (High Net Worth Individual) จนมียอดขายถึง 40% หลังจากเปิดตัวช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จกับตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ระดับราคา 65 – 240 ล้านบาท ที่รวดเร็วมากสำหรับบ้านเดี่ยวในตลาดกลุ่มนี้” คุณวันจักร์กล่าว
นอกจากนี้แสนสิริยังมีบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เศรษฐสิริ ที่มีแนวคิด “Portrait of Success ภาพของชีวิตที่ภาคภูมิ ” ในระดับราคา 10 – 25 ล้านบาท รวมทั้ง บุราสิริ ภายใต้แนวคิด “Find Your Peace of Mind บ้านเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง” ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นกัน ทั้งเศรษฐสิริ แจ้งวัฒนะ-ประชาชื่น 2 และเศรษฐสิริ พหล-วัชรพล รวมทั้งบุราสิริ พัฒนาการ เป็นต้น
นอกจากอาคารชุดพักอาศัยและบ้านเดี่ยว ที่เป็นการพัฒนาโครงการแนวสูงและแนวราบ รองรับความต้องการ และไลฟ์สไตล์ ที่แตกต่างแล้ว ทาวน์เฮ้าส์ ยังเป็นกลุ่มที่พักอาศัยที่แสนสิริประสบความสำเร็จในการรุกตลาด ในบ้านที่แต่ละหลังสร้างติดกันเป็นแถว โดยใช้ผนังบ้านร่วมกัน
ทาวน์เฮ้าส์แสนสิริภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส แบรนด์คุณภาพระดับ Best in Class ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.69 ลบ. ที่มีแผนจะเปิดตัวทั้งหมด 8 โครงการภายในปีนี้ สามารถสร้างยอดขายจากการเปิดตัว สิริ เพลส 5 โครงการ 5 ทำเล ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาได้ถึง 2,300 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 175% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 833 ล้านบาท
“ความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการ เพื่อตอบรับเทรนด์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิดเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ #CompleteYourLivingExperience และความโดดเด่นของโครงการ ภายใต้คอนเซ็ปต์ขยายทุกความชอบ ให้เป็นไปได้ เราจึงเตรียมเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์แบรนด์ สิริ เพลส อีก 3 โครงการใหม่ทั้งในกรุงเทพฯ และภูเก็ต ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้” คุณวันจักร์กล่าว
สัดส่วนลูกค้าต่างชาติสูงสุด
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก แสนสิริยังเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่สามารถสร้างยอดขายจากตลาดต่างชาติได้ถึง 6,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 50% จากเป้าหมายยอดขายตลาดต่างชาติที่ตั้งไว้ในปีนี้ 13,000 ล้านบาท
นับเป็นบริษัทที่ครองส่วนแบ่งการตลาด ลูกค้าต่างชาติที่สูงที่สุด และเป็นบริษัทเดียว ที่เปิดขายโครงการในต่างประเทศ พร้อมกันในหลายประเทศ (Global Launch) รวมทั้งจัดกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันแสนสิริยังเดินหน้าต่อยอดด้าน Digital Transformation อย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและสืบค้นนวัตกรรม ความสะดวกสบายสำหรับลูกค้าทุกกลุ่มของแสนสิริ โดยการร่วมมือกับ 2 องค์กรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล “ไมโครซอฟท์” และ “เอไอเอส” เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริง ‘Mixed Reality (MR)’ เพื่อนำมาใช้กับวงการอสังหาฯ เป็นครั้งแรกในเมืองไทย
อาทิ การชูไฮไลท์ “MR Sales Gallery” ห้องตัวอย่างเสมือนจริงครั้งแรกในโลก เพื่อยกระดับประสบการณ์ ด้านการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยไปอีกขั้น ผ่านการจำลองสภาพแวดล้อม เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสบรรยากาศของโครงการแบบอินเทอร์แอ็คทีฟ ด้วยฟังก์ชันการออกแบบ และปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ทุกมุมมอง ซึ่งเตรียมนำมาใช้กับโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริในปีนี้
ล่าสุดนับเป็นครั้งแรกของแสนสิริและแอลจี สู่การนำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย “สมาร์ทโฮมโซลูชั่น” ลูกบ้านแสนสิริสามารถเชื่อมต่อระบบสั่งงานของ Smart ThinQ™ ผ่าน Home Service Application ของแสนสิริ เพื่อการครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิตภายในแอพพลิเคชั่นเดียว
รวมทั้งความสำเร็จในการจับมือร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายธุรกิจ เพื่อผนึกความแข็งแกร่งระหว่าง 2 ธุรกิจในการนำเทคโนโลยีเพื่อตอบรับลูกค้าตามแนวคิด #CompleteYourLivingExperience อีกด้วย
ขณะเดียวกัน สิริ เวนเจอร์ ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ ความร่วมมือผลักดันสร้างระบบนิเวศสำหรับสตาร์ทอัพ ร่วมกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก อาทิ SOSA และ Plug and Play
ล่าสุดกับการนำนวัตกรรม “Wind Turbine” จาก Semtive สตาร์ทอัพชั้นนำ ผู้พัฒนากังหันลมสำหรับที่พักอาศัยจากสหรัฐฯ ที่ สิริ เวนเจอร์ ได้เข้าร่วมลงทุน มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยในงาน TechSauce Global Summit 2018 เพื่อแนะนำให้คนไทยสัมผัสนวัตกรรมสุดล้ำ รวมทั้งสร้างโอกาสการเติบโตในตลาดไทยไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังนำแนวคิดระดับโลก “Agile” (เอจาวล์) เพื่อพลิกโฉมองค์กรในบทใหม่รับยุคมิลเลนเนียล ปรับปรุงการทำงานแบบเดิมให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คล่องตัวและก้าวทันยุคดิจิทัล นำระบบ Salesforce เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร โดยการพัฒนาระบบการทำการตลาด รวมทั้งระบบบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังนำระบบ Primavera ที่ช่วยควบคุมขั้นตอนการก่อสร้าง มาใช้ในองค์กรเป็นครั้งแรก
ครึ่งปีหลังปูพรมเปิดโครงการใหม่
คุณวันจักร์กล่าวว่า ครึ่งปีแรกถือเป็นปรากฏการณ์แห่งปีของแสนสิริ ที่มีเป้ายอดขายที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท มีมูลค่าการเปิดตัวโครงการสูงที่สุดในรอบ 34 ปี รวมทั้งมีการตอบรับการขายโครงการอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ครึ่งปีหลังของแสนสิริ ถือเป็นความท้าทายที่จะสานต่อความสำเร็จ โดยจะรุกพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
“เช่น เชียงใหม่ หัวหิน และศรีราชา ชลบุรี แสนสิริมีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 15 โครงการ มูลค่ารวม 36,900 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ บ้านเดี่ยว 4 โครงการ และทาวน์เฮ้าส์ 6 โครงการ ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัว “XT” แบรนด์คอนโดมิเนียมล่าสุดจากแสนสิริ #SansiriXT ที่จะฉีกกฎการพัฒนาคอนโดมิเนียมรูปแบบเดิม โดยเราวางแผนจะเปิดตัวในปีนี้ 3 โครงการ ใน 3 ทำเลศักยภาพ คือ เอกมัย พญาไท และห้วยขวาง โดยมีมูลค่าโครงการรวมสูงที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน”
ทั้งนี้ แสนสิริยังมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ภายใต้แบรนด์คอนเซ็ปต์ใหม่ MARK MY BASE รวม 3 โครงการ 3 ทำเล ในกรุงเทพฯ และภูเก็ต มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท รวมทั้งเตรียมเปิดตัว เดอะ เบส สุขุมวิท 50 และ เดอะ เบส สะพานใหม่ ในเดือนสิงหาคมนี้ หลัง เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต ที่เปิดตัวเป็นโครงการแรก ประสบความสำเร็จสามารถปิดการขายอย่างรวดเร็วทันทีในวันพรีเซลล์
นอกจากนี้ แสนสิริยังเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำ ทั้งไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย จะมีการพัฒนาโครงการใหม่ ร่วมลงทุนกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป ในส่วนกลุ่มธุรกิจใหม่ JustCo ก็ได้เตรียมเปิดโคเวิร์คกิ้งสเปซ แห่งที่ 2 ที่อาคาร All Seasons Place หลังปักธงเปิดสาขาแรกใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่อาคาร AIA Sathorn เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อมอบสิทธิพิเศษการเข้าใช้บริการสำหรับลูกบ้านแสนสิริ
“ในช่วงครึ่งปีหลัง Hostmaker บริษัทผู้ให้บริการ บริหารการเช่าที่พักอาศัย และผู้บริหารการจองที่พักอันดับ 1 ของ Airbnb ที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมาแล้ว จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้กับลูกบ้าน รวมทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถกับการแข่งขันในตลาดต่างประเทศให้อีกด้วย” คุณวันจักร์กล่าว
ครึ่งปีหลัง complete your living experience
นอกจากมุ่งมั่นมอบความเป็นอยู่ที่ดี และชีวิตคุณภาพภายในโครงการ ช่วงครึ่งปีหลัง 2561 แสนสิริมีแผนเพิ่มกำลังผลิตสำหรับโรงงาน พรีคาสท์ ของแสนสิริ ให้สอดคล้องกับการเติบโต เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ที่แสนสิริได้รับการตอบรับที่ดีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท
ตามแผนดำเนินงาน แสนสิริมุ่งเน้นลดระยะเวลาก่อสร้าง ลดการใช้แรงงาน รวมทั้งปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิต ให้มีความคล่องตัวสูง รวมถึงเดินหน้าไปสู่วิสัยทัศน์ ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืน ภายใต้ 3 แกนหลัก ได้แก่
1. Environment – อาทิ ลดการใช้กระดาษ (Paperless) ลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ผ่านการลดขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น เป็นต้น
2. Social Change โดยที่ผ่านมาแสนสิริได้ร่วมกับยูนิเซฟ เพื่อการพัฒนาสิทธิเด็กในประเทศไทย มายาวนานกว่า 7 ปี ในความรับผิดชอบต่อสังคม มุ่งเน้นการช่วยเหลือ ส่งเสริม พัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืน รวมถึงรณรงค์ยุติการใช้แรงงานเด็กในทุกรูปแบบ ที่ธุรกิจมีส่วนเกี่ยวข้อง กับโครงการ ‘พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก’ ในสถานที่ก่อสร้างหรือ The Good Space #SansiriGoodSpace เพื่อให้เด็กในไซต์ก่อสร้าง ไม่ว่าสัญชาติใด ได้ร่วมทำกิจกรรมที่จัดให้อย่างปลอดภัย
นอกจากนี้แสนสิริยังเน้นการออกแบบโครงการต่างๆ ให้ทุกคนสามารถใช้งานได้เท่าเทียมกัน หรือที่เรียกว่า Universal Design
3. Good Governance ยึดหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงานอย่างโปร่งใสถูกต้อง
“ผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของแสนสิริ ที่มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 62% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นเกินกว่า 53% จากเป้าหมายยอดขายรวมที่วางไว้ ผนึกกับความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 นี้ บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้ 45,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน ซึ่งจะนับเป็นการสร้างประวัติการณ์ยอดขายใหม่ ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 34 ปีของแสนสิริ นับแต่มีการก่อตั้งบริษัท และเป็นปีที่ดีที่สุดของแสนสิริ” คุณวันจักร์กล่าว